วันจันทร์, กรกฎาคม 28, 2551

เรื่องของฉัน ตอนที่ 9


ตอนที่ 9

การซักผ้าเป็นอีกกิจกรรมหนึ่งซึ่งถือเป็นงานที่หนักมีขั้นตอนต่าง ๆ ซับซ้อน เริ่มจากการแช่ผ้าในน้ำสบู่ใส่กะละมังไว้ข้ามคืน หากผ้าที่ซักสกปรกมาก ๆ ต้องต้มผ้านั้นเสียก่อน ผงซักฟอกยังมีราคาแพงและไม่เป็นที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายเหมือนในสมัยนี้ ส่วนใหญ่จะใช้สบู่กรดหรือสบู่ซันไลท์ในการซัก นอกจากการขยี้ผ้าในน้ำสบู่และน้ำเปล่าเพื่อให้สะอาดหมดจดแล้ว ยังมีกรรมวิธีที่เรียกว่า “ลงแป้ง” คือการนำผ้าที่ซักแล้วลงซักในน้ำผสมแป้งมันหรือที่เรียกกันว่าแป้งเปียกจาง ๆ เพื่อให้ผ้านั้นรีดขึ้นกลีบได้เรียบสนิท ส่วนผ้าขาวต้องนำไป “ลงคราม” คือการซักในน้ำสุดท้ายซึ่งผสมผงครามสีฟ้า ๆ นัยว่าเพื่อให้ผ้าขาวนั้นขาวนวลยิ่งขึ้น ส่วนการรีดผ้าก็มีกรรมวิธีที่ยุ่งยากไม่แพ้กันเนื่องจากเตารีดไฟฟ้ามีราคาแพง และยังไม่มีใช้กันอย่างแพร่หลาย ชาวบ้านรีดผ้ากันด้วยเตาถ่านที่ทำด้วยเหล็กหนักอึ้งใส่ถ่านติดไฟแดง ๆ หากรีดไม่เป็นหรือไม่ชำนาญผ้าจะไม่เรียบ อีกทั้งยังจะไหม้ได้โดยง่าย เตารีดนี้เวลาจะวางพักระหว่างการรีด ต้องวางบนที่รองเตารีดซึ่งทำด้วยเหล็กเป็นรูปเหมือนฐานเตาและต้องปูด้วยใบตองพับทบกันหนา ๆ นัยว่าเพื่อทำให้เตารีดไม่ติดผ้าเวลารีดอีกด้วย

เมื่อฉันโตขึ้นอีกหน่อยจึงเริ่มมีผู้ผลิต "ผงซักฟอก" ออกมาขาย ผงซักฟอกยี่ห้อแรกมีชื่อภาษาฝรั่งว่า "แฟ้บ" คนจึงเรียกผงซักฟอกว่า แฟ้บ กันจนติดปาก แม้ว่าต่อมาจะมีผงซักฟอกยี่ห้ออื่นออกขายมากมาย แต่คนก็ยังเรียกผงซักฟอกทุกชนิดว่าแฟ้บ เช่นเดิม เหมือนกับผ้าอนามัยของผู้หญิงก็เช่นกัน จำได้ว่าตอนที่ฉันยังเด็ก ๆ ผู้หญิงทุกคนจะต้อง "ขี่ม้า" เวลามีรอบเดือน การขี่ม้าคือการเอาผ้าถุงหรือผ้านุ่งเก่า ๆ มาตัดตามขวางให้ได้ผ้าถุงเป็นวง ๆ ขนาดความกว้างสัก 10 นิ้ว แล้วใช้ผ้าที่ว่านี้นุ่งหรือพันไว้ข้างในเพื่อซับระดู ส่วนวิธีนุ่งหรือพันนั้นฉันไม่ทราบเพราะไม่เคยเห็นกับตาสักที ต่อมาจึงมีผู้สั่งเอาผ้าอนามัยจากเมืองนอกยี่ห้อ "โกเต๊กซ์" ออกมาขายคนก็พากันเรียกผ้าอนามัยว่า "โกเต็กซ์" กันโดยทั่วไป ตอนเด็ก ๆ แม่มักจะใช้ให้ฉันวิ่งไปซื้อโกเต็กซ์ จนชิน แม่จะไม่เรียกว่าโกเต๊กซ์แต่จะเรียกว่า "หนมปัง" แทน

ในแม่น้ำเจ้าพระยามีปลาประเภทต่าง ๆ ชุกชุมเช่น ปลาช่อน ปลาแขยง ปลาเข็มและปลาสังควาส นอกจากปลาแล้วยังมีกุ้งตัวใหญ่ ๆ อีกด้วย ถ้าย้อนสมัยงมมาขายได้ในสมัยนี้คงขายได้กิโลละไม่น้อยกว่า 300 บาทเป็นแน่ ที่เห็นลอยน้ำมาเป็นอันมากเช่นกันคือผักสวะและกุ้งเหลือง กุ้งเหลืองนี้เป็นกุ้งอันธพาล ลอยไปลอยมาไร้ทิศทาง เวลาเด็ก ๆ หรือผู้ใหญ่ลงเล่นน้ำต้องระวังกุ้งเหลืองให้ดี ถ้าเห็นลอยมาต้องรีบว่ายหนีหรือวักน้ำไล่ให้กุ้งเหลืองลอยไปที่อื่นอย่างรวดเร็ว เหตุที่กุ้งเหลืองมีชุกชุมไม่แพ้กุ้งแม่น้ำก็เพราะบ้านเรือนริมน้ำในสมัยนั้นยังไม่มีส้วมซึมใช้กัน ชาวบ้านจะรอให้มืดค่ำเสียก่อน จึงจะชวนกันไปปล่อยกุ้งเหลืองริมตลิ่ง เรือกลไฟที่วิ่งผ่านไปมายามค่ำคืนบางลำชอบแกล้งชาวบ้านด้วยการฉายไฟระไปตามริมตลิ่ง ก็จะเห็นผู้คนนั่งปล่อยกุ้งเหลืองเห็นก้นขาววอกอยู่ทั่วไปเป็นที่ขบขันยิ่งนัก

ลุงเป็นคนที่ฉันเห็นว่าจับกุ้งได้เก่งเป็นที่สุด วิธีจับกุ้งของลุงคือการนุ่งผ้าขาวม้า (ออกเสียงว่าผ้าขะม้า) ให้ทะมัดทะแมงแบบนุ่งโจงกระเบนสั้นซึ่งรัดรูปเรียกว่านุ่ง "ถกเขมร" ลงน้ำแล้วดำหายไปโดยดำรูดเสาท่าน้ำลงไปจนถึงก้นแม่น้ำกุ้งจะชอบเกาะอยู่ตามเสาใต้น้ำนี้เอง ฉันเคยนั่งดูว่าลุงจะโผล่ขึ้นมาหายใจเมื่อใดแต่ไม่เคยเห็นสักทีจึงได้แต่ชื่นชมภาษาเด็กว่าลุงนี้ดำน้ำได้อึดนัก มารู้ในภายหลังว่าลุงรู้ว่าฉันคอยดูอยู่จึงแอบไปโผล่หายใจใต้ท่าน้ำไม่ให้ฉันเห็น โดยเฉลี่ยลุงจะใช้เวลาดำประมาณครึ่งชั่วโมงจึงขึ้นจากน้ำ เมื่อได้ก็จะนำกุ้งที่จับมาได้ใส่ไว้ในผ้าขาวม้าที่นุ่งนั้นเอง ฉันเห็นกุ้งดิ้นกระดุกกระดิกอยู่ในผ้าขาวม้าลุงนุ่งที่ใดก็ให้นึกหวาดเสียวจนขนลุกทุกทีไป

พวกเด็ก ๆ จะนำเอาไม้ไผ่ที่แห้งสนิทขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางลำต้นประมาณ 1 นิ้วมาเหลาเป็นคันเบ็ดแล้วใช้ตกปลา วิธีเหลาไม้ไผ่จะเหลือท่อนปลายด้านหนึ่งไว้ประมาณหกนิ้วเพื่อใช้เป็นด้ามจับส่วนที่เหลือไปตลอดความยาวของลำไผ่จะเหลาให้เรียวแหลมและบากแบ่งครึ่งตรงปลายสุดไว้เพื่อยึดเส้นเอ็น ส่วนที่เก็บเส้นเอ็นนั้นก็เอาตะปูตัวเล็ก ๆ สองตัวตอกไว้ห่างกันสัก 6 นิ้วแล้วเอาเส้นเอ็นพันรอบตะปูทั้งสองตัว ดึงปลายเส้นเอ็นด้านที่ติดตัวเบ็ดให้ยึดยาวออกไปตามความยาวที่ต้องการ ห่างจากตัวเบ็ดประมาณ 2 นิ้วต้องผูกลวดฟิวส์ไว้เป็นตัวถ่วงน้ำหนักให้เบ็ดจม ทุ่นลอยก็ใช้ฝาจุกไม้ก๊อกที่หาได้ทั่วไปมาเหลาให้สวยงามก่อนที่จะผ่าตามความยาวออกเป็นสองส่วนแล้วปะกบกันให้เส้นเอ็นที่ผูกเบ็ดลอดผ่านตรงกลางแล้วจึงผูกปลายทั้งสองข้างด้วยเศษเอ็นอีกที วิธีนี้จะทำให้สามารถเลื่อนทุ่นขึ้นลงตามความยาวของเส้นเอ็นเพื่อทิ้งระยะห่างจากตัวเบ็ดจนถึงทุ่นลอยให้ยาวหรือสั้นได้ตามความต้องการ

เหยื่อล่อปลาก็ใช้ไส้เดือนที่มีอยู่ชุกชุมขุดหาได้โดยง่ายตามพื้นดินแฉะ ๆ เด็ก ๆ ตกปลาเพื่ออวดคันเบ็ดที่ทำกันสุดฝีมือและความสนุกสนานเมื่อปลากินเบ็ดมากกว่าอย่างอื่น แม้แต่ยายก็นิยมตกปลาเหมือนกันเมื่อมีเวลาว่างจะเห็นยายมานั่งสูบบุหรี่ตกปลาริมตลิ่งเหมือนกัน ปลาที่ยายตกนั้นคือปลาตะเพียนแต่เพียงอย่างเดียว เหยื่อที่ใช้คือผักชีที่ฉันคิดว่าแปลกนักหนา เท่าที่จำได้ฉันไม่เคยเห็นยายตกปลาตะเพียนได้สักตัว มาเข้าใจในภายหลังว่าที่ยายนั่งตกปลานั้นมิได้หวังว่าจะได้ปลาแต่เป็นการนั่งพักผ่อนหย่อนใจมากกว่า ยายเป็นหญิงแก่ที่สูบทั้งบุหรี่และกินหมากไปพร้อม ๆ กัน ยามใดที่ฉันได้นอนหนุนตักยายยังจำได้ว่ากลิ่นบุหรี่และหมากพลูที่ระเหยออกจากตัวยายนั้นหอมนัก

ชีวิตในวังที่ยายอยู่เป็นชีวิตที่เรียบง่าย เด็ก ๆ รู้จักกันหมดทุกคนยกเว้นเด็กบนตึกที่พวกผู้ใหญ่เรียกว่า “พวกคุณ ๆ” ซึ่งยากนักที่เด็กอย่างพวกฉันจะมีโอกาสได้เห็นเพราะส่วนใหญ่จะพากันอยู่แต่บนตึก ในวังนี้มีที่เล่นสนุกของเด็กอีกแห่งหนึ่งนอกจากแม่น้ำ สถานที่นั้นเป็นสิ่งก่อสร้างที่เรียกว่า “หลุมหลบภัย” หลุมนี้สร้างในสมัยปลายสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นโครงสร้างก่ออิฐถือปูนรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าแข็งแรงมาก เกือบทั้งหมดของโครงสร้างนี้จมอยู่ใต้ดินคงโผล่พ้นดินเพียง 1 ใน 4 เฉพาะบริเวณที่เป็นหลังคาของหลุม บนหลังคานี้ยังมีปล่องระบายอากาศที่เมื่อชะโงกหน้าและร้องตะโกนลงไปจะได้ยินเสียงสะท้อนจากภายในหลุมดังก้องกังวาล หลุมนี้มีทางลงเป็นบันไดประมาณ 6-7 ขั้นทางเข้าหลุมมีประตูไม้สามารถปิดเปิดได้ พวกฉันมักจะมาวิ่งเล่นกันบริเวณนี้เสมอโดยเฉพาะในหน้าร้อนจะพากันเข้าไปเล่นกันอยู่ในหลุมเนื่องจากมีอากาศที่เย็นสบายแถมยังพ้นหูพ้นตาพวกผู้ใหญ่อีกด้วย

กิจวัตรประจำวันของยายและลุงคือการตื่นนอนตั้งแต่ประมาณตี 4 เพื่อทำกับข้าว ส่วนน้าอู๊ดกับฉันได้รับอภิสิทธิ์ไม่ต้องช่วยงานใด ๆ จะตื่นนอนประมาณ 7 โมงเช้า ลุงจะช่วยเป็นลูกมือให้ยายในทุก ๆ เรื่อง เริ่มจากการติดไฟ ซาวข้าว ตั้งข้าว ขูดมะพร้าว คั้นกะทิ ปอกหรือหั่นผักต่าง ๆ เป็นต้น สมัยนั้นยังไม่มีมะพร้าวขูดสำเร็จขายแพร่หลายเหมือนสมัยนี้ การขูดมะพร้าวด้วยเครื่องมือที่เรียกว่า “กระต่าย” เป็นเครื่องมือที่ใช้สำหรับการขูดมะพร้าวโดยเฉพาะตัวกระต่างทำดัวยไม่รูปร่างคล้ายม้านั่งแต่ตรงปลายด้านหนึ่งเหลาให้เรียวเล็กกว่าอีกด้านหนึ่งและมีหัวกระต่ายที่ทำด้วยเหล็กรูปร่างคล้ายพัดแต่จักเป็นแฉก ๆ เมื่อจะใช้งานผู้ขูดต้องขึ้นนั่งคร่อมตัวกระต่ายหรือคุกเข่ากดตัวกระต่ายไว้แล้วนำมะพร้าวห้าวซึ่งผ่าครึ่งมาคว่ำลงขูดกับหัวกระต่ายก็จะได้มะพร้าวขูดเป็นเส้น ๆ การขูดมะพร้าวด้วยวิธีนี้เป็นสิ่งที่เห็นกันจนเจนตาและถือเป็นเรื่องปกติ ต่อมาไม่นานจึงมีการนำเอาเครื่องขูดมะพร้าวมาใช้ตามตลาดเมื่อเครื่องขูดมะพร้าวเป็นที่นิยมใช้การอย่างแพร่หลายมากขึ้น กระต่ายขูดมะพร้าวก็เริ่มเสื่อมความนิยมและหายไปจากครัวอย่างสิ้นเชิงในที่สุด

จากคุณ : แมงกะพรุน - [2 พ.ค. 45 05:51:12]

ความคิดเห็นที่ 1
ตามมาอ่านต่อค่ะ @ ^_^ @
จากคุณ : O-HO - [2 พ.ค. 45 18:12:18]

ความคิดเห็นที่ 2
กุ้งเหลือง......น่ากลัวที่สุดจริงๆ
จากคุณ : GTW - [3 พ.ค. 45 03:06:24]

ความคิดเห็นที่ 3
รู้จักกระต่ายขูดมะพร้าวเพราะดังระเบิด จากท่าขูดมะพร้าวของมะหมี่ในแม่เบี้ย (แต่ผู้รู้บอกว่าถ้าขูดด้วยท่าแบบมะหมี่ รับรองว่าขูดไม่ออก) รุ่นผมใช้ กะทิสำเร็จรูปหรือไม่ก็นมสดแทนแล้วครับ
จากคุณ : มูโจ้ - [3 พ.ค. 45 15:54:00]

ไม่มีความคิดเห็น: