วันจันทร์, กรกฎาคม 28, 2551

เรื่องของฉัน ตอนที่ 10


ตอนที่ 10

เมื่อฟ้าเริ่มสาง ลุงจะนำสามล้อออกนอกวังเพื่อไป “เอาแป้ง” แป้งที่ว่านี้ได้แก่แป้งเปาะเปี๊ยะ เพื่อนำมาห่อใส้แล้วทอดเป็นเปาะเปี๊ยะทอดอันเป็นอาหารมาตรฐานประจำแผงของยายอย่างหนึ่ง นอกจากเอาแป้งแล้วลุงจะแวะตลาดเพื่อจ่ายกับข้าวจากเจ้าประจำอีกด้วย แผงข้าวแกงของยายนั้นถือได้ว่าเป็นแผงใหญ่แต่ละวันจะมีกับข้าวให้ลูกค้าเลือกกว่าสิบอย่าง สถานที่ตั้งของแผงอยู่หน้าธนาคารกรุงเทพพาณิชยการสาขาบางลำพู ฉันจำธนาคารนี้ได้เพราะสัญลักษณ์ของธนาคารเป็นรูปสตางค์แดงมีรูตรงกลาง เด็กสมัยนี้คงไม่เคยเห็นแล้ว ตอนฉันเป็นเด็กยังหาสตางค์แดงทำด้วยดีบุกได้ไม่ยากนัก สตางค์ที่ว่านี้ไม่ได้ใช้ซื้อสินค้าแต่อย่างใด ผู้ใหญ่พากันเก็บสะสมไว้แต่เด็กแอบเอามาใช้ในการเล่นที่เรียกกันว่า "เล่นล้อต๊อก" วิธีการเล่นล้อต๊อกคือการปล่อยเหรียญสตางค์แดงใส่แผ่นกระดานที่วางพิงฝาให้เอียงเป็นมุมสี่สิบห้าองศาเพื่อให้เหรียญนั้นวิ่งไปให้ได้ระยะไกลที่สุด เจ้าของเหรียญที่วิ่งล้อไปได้ไกลที่สุดจะได้ทอยหรือโยนเหรียญของตนให้โดนเหรียญของคนอื่นที่อยู่ใกล้ ๆ กัน โยนหรือทอยถูกถือว่าชนะได้กินเหรียญหรืออะไรก็แล้วแต่ที่ใช้เล่นกัน

แผงข้าวแกงของยายเริ่มขายตั้งแต่ 7 โมงเช้าไปจนถึงประมาณบ่ายสองโมงก็หมด เมื่อขนของกลับล้างถ้วยล้างชามเสร็จมักจะมีเวลาเหลือ ยายก็จะเริ่มพับถุงขาย ถุงที่ว่านี้คือถุงกระดาษซึ่งก็คือกระดาษที่เหลือใช้แล้วทุกประเภท นำมาตัดตามแบบให้ได้ขนาดมาตรฐานต่าง ๆ กัน ขั้นตอนการพับถุงคือ การนำเอากระดาษที่ตัดไว้มาเรียงกันเป็นตั้ง ตั้งละประมาณ 20-50 แผ่นแล้วจึงเกลี่ยกองกระดาษให้เหลื่อมกันเป็นมุมประมาณ 45 องศา เว้นช่วงห่างของกระดาษแต่ละแผ่นไวัประมาณครึ่งเซ็นติเมตรแล้วจึงทาด้วยแป้งเปียกให้ติดขอบของกระดาษทุกแผ่นในกอง แล้วจึงนำ ”แบบ” หรือแผ่นไม้รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ตัดไว้เป็นขนาดต่าง ๆ มีความกว้างและยาวเท่ากับถุงที่จะพับ มาวางลงตรงกลางแผ่นกระดาษที่ทาแป้งเปียกแล้วพับให้ด้านที่มีแป้งเปียกติดเข้ากับด้านที่ไม่มีแป้งเปียกก็จะได้ตัวถุง ส่วนก้นถุงนั้นผู้พับต้องมีความชำนาญเป็นพิเศษเกินกว่าความสามารถที่เด็ก ๆ อย่างฉันจะทำได้ ถุงนี้เมื่อพับเสร็จแล้วก็จะมัดรวมกันไว้เป็นมัด ๆ ละ 100 ถุงเพื่อให้ลุงนำไปขายให้ส่งกับแม่ค้าในตลาดยอดบางลำพูอีกต่อหนึ่ง อาชีพการพับถุงกระดาษนี้ ยายทำอย่างต่อเนื่องจนแม้เมื่อเลิกขายข้าวแกงแล้วก็คงทำอยู่ ฉันยังมีรูปถ่ายของยายที่ถ่ายไว้ในอิริยาบทขณะทำการพับถุงเก็บไว้จนทุกวันนี้

ในเรื่องของความบันเทิง ก่อนที่จะเริ่มมีโทรทัศน์ นอกจากโรงหนังแล้วก็เห็นจะเป็นวิทยุที่มีผู้นิยมฟังกันโดยทั่วไป แรก ๆ วิทยุเป็นวิทยุที่ใช้หลอดมีทั้งแบบ 4 หลอดและ 8 หลอด สมัยนั้นใครที่เสียงดัง ๆ จะถูกตั้งฉายาว่า "เสียงดังอย่างกับวิทยุแปดหลอด" วิทยุสมัยนั้นต้องต่อสายอากาศและอุ่นเครื่องจนหลอดร้อนเสียก่อนจึงจะรับฟังได้ ภายหลังจึงเริ่มมีวิทยุทรานซิสเตอร์เปิดปุ๊บติดปั๊บ การฟังวิทยุจึงลดความทุลักทุเลลงเป็นอันมาก รายการวิทยุส่วนใหญ่แล้วเป็นรายการเพลงมีทั้งเพลงไทยซึ่งแบ่งออกเป็นเพลงไทยเดิม และเพลงไทยสากล ยังไม่มีเพลงลูกทุ่งหรือเพลงลูกกรุงเหมือนในสมัยนี้ เพลงที่ใกล้เคียงกับเพลงลูกทุ่งมากที่สุดซึ่งไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดฉันยังจำเนื้อร้องและทำนองได้จนทุกวันนี้คือเพลงที่ร้องว่า "สุดคลองบางกอกน้อย พายเรือตามหาบัวลอยจนเหงื่อพี่ย้อยโทรมกาย ปากพี่ตะโกนกู่ถึงยอดชู้เพื่อนรวมกาย ไม่รู้ว่าเจ้าจมหาย ลอยไปแห่งใดเล่าหนา" เพลงสากลนั้นยังไม่เป็นที่นิยมมากนักจนกระทั่งประมาณปี 2510 เมื่อเพลงของเอลวิส เพรสลี่และ คลิฟ ริชชารด์ ซึ่งมาทีหลังเอลวิส เริ่มเป็นที่รู้จักและนิยมกันอย่างแพร่หลาย เพลงของคลิฟที่ฮิทหนักหนาจนเด็กๆร้องกันได้เกือบทุกคนคือเพลง "ยังวัน" แต่หากจับเด็กที่ร้องเพลงยังวันไปร้องให้คลิฟฟัง เห็นทีคลิฟคงต้องนั่งลงร้องไห้ เพราะนอกจากทำนองแล้วจะไม่สามารถฟังเนื้อร้องออกเลยว่าเด็กร้องว่าอะไร

ต่อมาก็มีนักจัดรายการเพลงตามสถานีวิทยุที่ดัง ๆ เช่น เล็ก วงศ์สว่าง ก็เริ่มเอาใจวัยรุ่นด้วยการเปิดเพลงเอลวิสประชันกันกับ คลิฟให้ได้ยินอยู่ทั่วไปในช่วงบ่าย ๆ วันอาทิตย์ เปิดกันที่ละ 5-6 ชั่วโมง จากนั้นก็เริ่มมีหนังสือเพลงพิมพ์ออกขาย เด็กในวัยรักนักเพลงรุ่นหลังจึงไม่ต้องนั่งลอกนั่งจดลอกเนื้อเพลงเหมือนดังเช่นที่เด็กรุ่นฉันต้องทำในสมัยก่อนอีกต่อไป ต่อมาเป็นเอามากถึงขั้นมีแฟนคลับ ทะเลาะกันทางวิทยุอย่างเอาเป็นเอาตายพวกเอลวิสก็ว่าเอลวิสดียังงั้นยังงี้ พวกคลิฟก็ว่าคลิฟสิดีกว่าอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ยังไงเสียก็ยังไม่ถึงขั้นยกพวกตีกันเหมือนกับวัยรุ่นในสมัยนี้เท่านั้น

การโฆษณาในวิทยุนอกจากจะใช้ผู้ประกาศอ่านโฆษณาต่าง ๆ แล้ว ยังนิยมใช้เพลงโฆษณาขายสินค้าหรือบริการอีกด้วย เพลงโฆษณาที่ฉันยังจำได้ติดหูคือเพลงโฆษณาของโรงเรียนขับรถยนต์ซึ่งมีชื่อว่า "ส.สะพานมอญ" ร้องว่า "ถ้าอยากขับรถ ต้องเรียนเสียก่อน..ส.สะพานมอญ สอนให้ได้ผล ฯลฯ" ใครที่ผ่านไปทางบ้านหม้อ สะพานมอญจะพบว่า โรงเรียนสอนขับรถ ส.สะพานมอญ ยังเปิดสอนขับรถยนต์อยู่จนถึงทุกวันนี้

จากคุณ : แมงกะพรุน - [วันฉัตรมงคล 05:29:19]

ความคิดเห็นที่ 1
คงเหมือนกรณี Intel VS. AMD สมัยนี้นะครับ หนังสือเพลงของเล็ก วงค์สว่าง ดูเหมือนว่าจะเป็นรายแรกที่ลงคอร์ดกีตาร์ประกอบด้วยนะครับ สะใจวัยรุ่นที่ไม่ต้องมาแกะเนื้อร้องและคอร์ดกีตาร์เอง
จากคุณ : GTW - [วันฉัตรมงคล 07:37:11]

ความคิดเห็นที่ 2
ต่อไปเด็กๆ รุ่นหลัง คงจะไม่ทราบเรื่องเหล่านี้ ถ้าไม่มีใครบันทึกไว้ .3P ก็เพิ่งจะทราบที่มาของวิทยุ 8 หลอดนี่แหละค่ะ แล้วจะรอตอนต่อไปค่ะ
จากคุณ : 3P - [6 พ.ค. 45 18:23:23]

ความคิดเห็นที่ 3
สมัยเด็ก ๆ เคยพับถุงขายด้วยค่ะ วิธีเดียวกันเลย
จากคุณ : O-HO - [8 พ.ค. 45 01:23:05]

ไม่มีความคิดเห็น: