วันจันทร์, กรกฎาคม 28, 2551

เรื่องของฉัน ตอนที่ 11


ตอนที่ 11

นอกจากวิทยุ 8 หลอดหนึ่งเครื่องแล้ว ป๋ายังมีเครื่องเล่นเพลงที่เรียกว่า "หีบเสียง" อีกหนึ่งเครื่อง หีบเสียงนี้คือเครื่องเล่นจานเสียงหรือแผ่นเสียงที่เป็นกลไกล้วน ๆ ไม่ต้องใช้ไฟฟ้าแต่อย่างใด ตัวเครื่องเป็นหีบไม้หุ้มด้วยหนังอย่างดีสีดำมีฝาปิดและล๊อกกุญแจได้ เมื่อเปิดฝาออกจะมีจานหมุนแขนและหัวเข็มที่ใช้วางบนแผ่นเสียงที่วางไว้บนจานหมุนทำด้วยเหล็กแต่บุรองด้วยแผ่นกำมะหยี่ตรงกลางแผ่นมีเดือยสำหรับยึดแผ่นเสียง
ก่อนจะเล่นต้องไขลานเสียก่อน เสียงเพลงจะดังออกมาจากตัวลำโพงเล็ก ๆ ที่ยึดหัวเข็มไว้ที่ปลายแขน ถ้าจะเปรียบให้เห็นภาพชัดขึ้นคงต้องเปรียบเทียบกับหัวอ่านเครื่องซีดีในสมัยนี้นั่นเองแผ่นเสียงที่เล่นเป็นแผ่นที่ทำมาจากครั่งสีดำ มีสองด้าน ๆ ละ 1 เพลง จำได้ว่าแผ่นเสียงจะหมุนเร็วมากที่ความเร็ว 78 รอบต่อนาที ความเร็วนี้จะลดลงเรื่อย ๆ เมื่อลานที่ไขไว้เริ่มอ่อนลงทำให้เพลงเริ่มยืดไม่เป็นทำนองไปด้วย ต้องรีบไขลานเพิ่มเพลงจึงจะดังเข้าทำนองต่อไปได้ แผ่นเสียงที่ทำด้วยครั่งที่ว่านั้นไม่ค่อยทน หากเก็บไม่ดีหรือโดยความร้อนเมื่อใด ก็จะโค้งงอเสียรูปใช้เล่นอีกไม่ได้ น่าเสียดายที่หีบเสียงและแผ่นเสียงที่ป๋าเก็บสะสมไว้ถูกไฟไหม้เสียหายจนหมดสิ้นเมื่อคราวที่ไฟไหม้บ้านจนไก่ตายหมดเล้านั่นแหล่ะ

ป๋ามิได้ละความเป็นนักสะสมของเล่นต่าง ๆ ตั้งแต่เล็กจนโตเป็นผู้ใหญ่ ต่อมาในภายหลังเมื่อฉันโตขึ้นมากแล้ว ป๋าจึงได้เก็บสะสมเงินจนสามารถซื้อเครื่องเสียงชุดใหญ่ได้ เป็นเครื่องแยกเครื่องขยายแอมปริฟายใช้หลอด ยี่ห้อมาร้านซ์ จูนเนอร์และพิกอัฟหรือเครื่องเล่นแผ่นเสียงของฟิชเชอร์ ลำโพงของ เออาร์ แผ่นเสียงรุ่นใหม่เป็นแผ่นเสียงไฮฟายสเตริโอ แยกทิศทางซ้ายขวา มีทั้งแบบซิงเกิล หน้าละเพลง และแผ่นลองเพลย์ ทั้งสองหน้าจะมี 10 ถึง 12 เพลง จะเป็นด้วยกรรมหรือเวรอันใดก็ไม่ทราบได้ เครื่องเสียงชุดนี้ รวมทั้งแผ่นเสียงที่ป๋าซื้อเก็บสะสมไว้เดือนละแผ่นสองแผ่น ถูกไฟไหม้เสียหายจนหมดสิ้นเช่นเดียวกันเมื่อเกิดไฟไหม้ครั้งสุดท้ายขึ้นที่บ้านเอกมัยซึ่งเป็นบ้านที่ป๋าปลูกบนที่ดินของตัวเองด้วยเงินที่เพียรเก็บหอมรอมริบโดยใช้เวลาเกือบ 30 ปี

นอกจากฉันและเกษมหรือนายปั้นซึ่งเป็นลูกแท้ ๆ แล้ว แม่ยังมีลูกอีกคนหนึ่งเป็นผู้หญิงชื่อแสงแข เรียกชื่อเล่นกันว่า “ยายแจ๋ว” แม่ได้เด็กคนนี้มาเป็นลูกโดยบังเอิญ เรื่องมีอยู่ว่าวันหนึ่ง ยายจิ้น วิ่งกระหืดกระหอบมาตามแม่ให้ไปดูเด็กที่มีคนนำมาทิ้งไว้ที่หลังวัด ทั้งสองหายไปพักใหญ่ก็เห็นแม่อุ้มยายแจ๋วซึ่งขณะนั้นเป็นทารกตัวเล็ก ๆ ผิวดำจนเป็นมันแถมยังมีผมหยิกหยองไปทั้งหัวมาด้วย แม่ป่าวประกาศให้ทุกคนได้ยินโดยทั่วกันว่า จะเลี้ยงเด็กคนนี้ไว้เป็นลูก แทนลูกสาวสองคนที่เสียชีวิตไปห้ามมิให้ใครรวมทั้งป๋าคัดค้านเป็นอันขาดซึ่งก็เป็นไปตามความประสงค์ของแม่ ฉัน นายปั้น และ น้าแดง มิได้ชื่นชอบน้องสาวคนนี้นัก เมื่อผู้ใหญ่เผลอ ยายแจ๋วมักถูกฉันแกล้งเอาแรง ๆ จนร้องไห้เสียงดังเสมอ อย่างที่เขาพูดกันเสมอมาว่า "ธรรมชาติมีความเป็นธรรม" สิ่งที่ยายแจ๋วได้ชดเชยจากธรรมชาติเพื่อแลกกับรูปร่างหน้าตาคือ สมอง ยายแจ๋วเป็นเด็กที่เรียนเก่งมากที่สุดในบรรดาพี่น้อง จำได้ว่ายายแจ๋วสอบได้ที่หนึ่งเสมอ ป๋าจึงส่งเสียให้เรียนจนจบ ม.6 แล้วเข้าเรียนต่อจนจบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยรามคำแหง

เมื่อต่างคนต่างโตขึ้นฉันก็ไม่ได้พบกับยายแจ๋วบ่อยนัก ได้ข่าวว่ายายแจ๋วแต่งงานหลายครั้งและเปลี่ยนงานบ่อยจนสุดท้ายมายึดอาชีพซึ่งฮิตติดอันดับในช่วงปี 2538-40 คือการเปิดท้ายขายของ ยายแจ๋วมาเสียชีวิตเอาเมื่อมีอายุเพียง 42 ย่าง 43 ด้วยโรคมะเร็ง ถึงแม้ว่าจะไม่ร่ำรวยแต่ยายแจ๋วก็ยังอุตส่าห์มีมรดกตกทอดเป็นเงินประกันชีวิตก้อนหนึ่งและบ้านพร้อมที่ดินซึ่งแม่เป็นผู้ได้รับไปแต่เพียงผู้เดียว

เหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้นเป็นที่สุดในวัยเด็กของฉันมีอยู่สองประการ ประการแรกคือไฟไหม้ ประการที่สองคือการได้ไปเที่ยวทะเล การไปเที่ยวทางไกลโดยเฉพาะอย่างยิ่งการได้ไปเที่ยวทะเลเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นเป็นอย่างมากไม่เพียงกับเด็กอย่างฉันเท่านั้น พวกผู้ใหญ่ก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน ชายทะเลที่นิยมไปกันนอกจากหัวหินซึ่งเป็นสถานตากอากาศของพวกเจ้าขุนมูลนายและเศรษฐี ส่วนชาวบ้านทั่ว ๆ ไปแล้วชายหาดบางแสนเป็นสถานตากอากาศยอดนิยม สมัยนั้นจะไปเที่ยวบางแสนกันทีจะต้องเตรียมการกันเป็นการเอิกเกริก พวกผู้ใหญ่จะเตรียมทำกับข้าว กับแกล้มกันล่วงหน้าเป็นอาทิตย์ ในคืนวันสุกดิบคือคืนก่อนเดินทางก็เกือบจะไม่ได้นอนกันทั้งเด็กและผู้ใหญ่ แม้ว่าผู้ใหญ่จะเพียรไล่ให้เด็กไปนอนแต่ก็ยากที่เด็กจะข่มตาให้หลับลงได้เนื่องจากจะได้ยินเสียงประกอบข้าวปลาอาหารที่จะนำไปกินกันระหว่างทางแล้ว ยังมีเสียงผู้ใหญ่ซึ่งอหยอกล้อกันอย่างครื้นเครงเกือบตลอดทั้งคืน

การเดินทางจะเริ่มกันตั้งแต่ตีสี่เพื่อให้ไปถึงที่หมายปลายทางแต่เช้าประมาณ 9-10 โมง สมัยนั้นหนทางยังไม่ดีเหมือนสมัยนี้ ทางหลวงทุกสายยังเป็นทางลาดยางมะตอยพอให้รถวิ่งสวนกันได้เท่านั้น เด็ก ๆ ในวัยฉันเมื่อเริ่มออกเดินทางจะตื่นเต้นมาก รถจะวิ่งไปทางพระโขนงโดยใช้ถนนสุขุมวิท ผ่านสถานที่ต่าง ๆ เช่น กรมอุตุนิยมวิทยาเรียกกันย่อ ๆ ว่า "กรมอุตุ" ในความเห็นของเด็กอย่างฉันกรมอุตุนั้นใหญ่โตหนักหนา รถวิ่งตั้งนานจึงจะพ้นกรมและคนในกรมนี้น่าจะชอบนอนกันเหลือเกิน เลยกรมอุตุไปสักหน่อยรถจะวิ่งข้ามสะพานพระโขนงซึ่งเป็นสะพานโค้งมีรูปลักษณะสถาปัตยกรรมที่สวยงามนัก พูดถึงพระโขนงแล้วต้องนึกถึงหนังเรื่องแม่นาคพระโขนง จำได้ว่าน้าอู๊ดเป็นคนพาฉันไปดูหนังเรื่องนี้ ตอนนั้นคนที่เล่นเป็นแม่นาคคือดาราอกเขาพระวิหาร ปรียา รุ่งเรือง ดูหนังกลับมาแล้วทั้งฉันและน้าอู๊ดนอนไม่หลับไปหลายคืน

พอข้ามสะพานพระโขนงไปได้สักพักเด็ก ๆ ก็จะหลับคอพับคออ่อนกันหมด จุดแวะพักแห่งแรกคือ "บางปู" สภาพที่จำได้เจนตาเกี่ยวกับบางปูคือ สะพานไม้ที่ทอดตัวยาวออกไปในทะเลและนกนางนวล ออกจากบางปูก็หลับกันต่อไปอีก เมื่อรถวิ่งไปเกือบเข้าเมืองชลบุรี พวกผู้ใหญ่จะปลุกให้ตื่นขึ้นมาดู "ภูเขา" แล้วก็หลับต่อ มาถูกปลุกอีกทีเมื่อถึงชายหาดบางแสน เด็ก ๆ จะถูกปลุกอีกทีเพื่อดูทะเล ซึ่งเมื่อรถวิ่งเกือบถึงหาดจะเห็นน้ำทะเลสูงคล้าย ๆ กับกำแพงกั้นที่ปลายถนนดูน่าตื่นตาตื่นใจนักชีวิตในวัยต้นของฉันเติบโตมาในสภาพแวดล้อมดังกล่าวข้างต้นจนถึงวัยที่เข้าโรงเรียนได้ ป๋าจึงได้พาฉันไปเข้าโรงเรียนในละแวกบ้านชื่อโรงเรียน หงสุรนันท์ เป็นโรงเรียนราษฎร์หรือโรงเรียนที่มีเอกชนเป็นเจ้าของ โรงเรียนอีกประเภทหนึ่งคือโรงเรียนรัฐ ฉันเริ่มชีวิตนักเรียนเหมือนเช่นเด็กทั่ว ๆ ไปโดยเริ่มเรียนในชั้นเตรียมประถมปีที่ 1 เป็นชั้นแรก สมัยนั้นยังไม่ยอมให้เด็กเล็กใช้สมุดดินสอ อุปกรณ์ที่ใช้ในการเขียนหนังสือคือกระดานชนวนและดินสอหิน ตัวกระดานชนวนดำจากหินชนวนสีดำและมีกรอบเป็นไม้ ส่วนดินสอหินนั้นทำจากหินชนวนเช่นเดียวกันเมื่อเขียนบนกระดานจะได้ตัวหนังสือเป็นสีเทา จากกระดานชนวนนี้เองที่ฉันเริ่มหัดเขียน ก ไก่ ข ไข่ รวมถึงเลขไทยและเลขอารบิก กว่าจะได้ใช้สมุดดินสอก็จำไม่ได้เสียแล้วว่าฉันทำกระดานชนวนแตกไปกี่แผ่นกันแน่

ในวัยเด็กช่วงที่เรียน ป 1 ถึง ป 4 หากนอกจากการที่นักเรียนจะถูกครูประจำชั้นดัดมือ เมื่อให้เขียนหนังสือสวยแล้ว เด็กที่ดื้อหรือเขียนหนังสือไม่สวยยังอาจถูกคุณครูทำโทษเอาด้วย การทำโทษที่ว่านี้มีตั้งแต่การยืนบนโต๊ะ ยืนหน้าชั้น ยืนหน้าชั้นกางแขน ยืนหน้าชั้นกางแขนและยกขาไว้ข้างหนึ่ง ยืนหน้าชั้นกางแขนยกขาข้างหนึ่งและคาบไม้บรรทัดไว้ในปาก การตีมือ การตีก้น ในทัศนะของนักเรียนชายการถูกทำโทษทั้งหมดที่กล่าวมา ไม่มีการลงโทษใดที่น่าสยดสยองเท่ากับการถูกครูสั่งให้ย้ายที่นั่งไปนั่งกับนักเรียนหญิงเลย นักเรียนชายคนใดใครก็ตามที่คุณครูสั่งให้ย้ายที่ไปนั่งกับนักเรียนหญิงจะหงอยเป็นแมวถูกตัดหนวดทุกรายไป ดังนั้น ครูจะสงวนการลงโทษชนิดนี้ไว้เป็นไม้ตาย ใช้ลงโทษกับนักเรียนคนใดที่ลงโทษด้วยมาตรการต่าง ๆ ที่เล่ามาแล้วแต่ยังไม่เข็ดหลาบเท่านั้น

ตัวฉันเองจัดได้ว่าเป็นเด็กที่เรียนไม่เก่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวิชาคำนวณฉันไม่ชอบเอามาก ๆ พวกวิชาที่พอกล้อมแกล้มเอาตัวรอดไปได้คือวิชาความรู้ทั่ว ๆ ในสมัยนั้นเรียกว่าวิชา วิทยาศาสตร์ภูมิศาสตร์ – ประวัติศาสตร์ ที่เป็นจุดเด่นของฉันจริง ๆ คือวิชาเรียงความซึ่งเป็นวิชาช่วย ฉันมักจะได้คะแนนสูงกว่าเด็กอื่น จำได้ชัดเจนว่าเมื่อฉันเรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ 4 ซึ่งเป็นชั้นสุดท้ายของโรงเรียนหงสุรนันท์ ทางโรงเรียนได้เชิญอาจารย์จากกระทรวงศึกษาธิการมากล่าวปัจฉิมนิเทศน์ให้นักเรียนทั้งโรงเรียนฟัง หลังจากนั้นโรงเรียนก็ประกาศให้นักเรียนเขียนเรียงความเกี่ยวกับเรื่องที่อาจารย์คนนั้นพูดอบรม ฉันก็เหมือนกับเด็กคนอื่น ๆ คือคิดว่าเป็นการบ้านที่ต้องทำส่งครู ก็เขียนส่ง ๆ ไป ปรากฏว่าวันรุ่งขึ้นครูประจำชั้นเรียกฉันไปพบ ส่งสมุดใหม่เอี่ยมให้ฉัน 1 เล่มแล้วสั่งให้ฉันไปคัดลอกเรื่องที่ฉันเขียนส่งไปให้เสียใหม่โดยกำชับให้ “เขียนให้สวย ๆ” เวลาผ่านไปจนถึงวันเรียนวันสุดท้ายก่อนปิดภาคเรียน โรงเรียนก็จัดให้มีการประชุมนักเรียนทั้งโรงเรียนอีกครั้งหนึ่งโดยมีครูใหญ่เป็นผู้ขึ้นให้โอวาท ในโอกาสนั้น ก็มีการมอบรางวัลเรียนดีและรางวัลความประพฤติดี หลายรางวัล รางวัลสุดท้ายเป็นรางวัลชนะเลิศการแต่งเรียงความ เมื่อครูใหญ่ประกาศชื่อฉันเป็นผู้ชนะเลิศ ฉันนั่งงงอยู่เป็นนานจนเพื่อน ๆ ต้องสะกิดให้ออกไปรับรางวัล วาระนั้นถือเป็นวาระแรกและวาระเดียวในชีวิตที่ฉันได้รับรางวัลท่ามกลางที่ชุมนุมชน รางวัลที่ได้เป็นหนังสือเกี่ยวกับประวัติชีวิตของนักวิทยาศาสตร์ชื่อ มาดามคูรี่ หนังสือเล่มนั้นฉันยังเก็บรักษาใส่ตู้ไว้จนทุกวันนี้

จากคุณ : แมงกะพรุน - [7 พ.ค. 45 04:13:14]

ความคิดเห็นที่ 1
ชอบอ่านค่ะ ให้ภาพบรรยากาศสมัยก่อนดีจังเลยค่ะ
จากคุณ : ธราธร - [7 พ.ค. 45 06:22:41]

ความคิดเห็นที่ 2
อืมม หงอยเป็นแมวถูกตัดหนวดเหรอครับ ต้องทดลองดูแล้ว
จากคุณ : GTW - [7 พ.ค. 45 15:00:37]

ความคิดเห็นที่ 3
ถ้าจะรวบรวมพิมพ์เป็นเล่ม ผมขออาสาเป็นคนตรวจ ปรู้ฟนะครับ
จากคุณ : แกงจืด - [7 พ.ค. 45 22:28:03]

ความคิดเห็นที่ 4
ตามมาอ่านต่อด้วยความชื่นชอบค่ะ
จากคุณ : O-HO - [8 พ.ค. 45 01:26:15]

ความคิดเห็นที่ 5
เรียนคุณ GTW
ขอละครับ อย่าลองตัดหนวดแมว หนวดของแมวตัวผู้เป็นยิ่งกว่าศักดิ์ศรีและหน้าตา ปกติ แมวที่ถูกตัดหนวดคือแมวที่ไม่รู้อยู่ ในหน้าฤดูที่มันถูกขับด้วยสัญชาติญาณแห่งการสืบเผ่าพันธ์ ให้ออกท่องราตรี ดิ้นรน ต่อสู้ กับผองชายชาติอาชาแมวอื่น ๆ เพื่อที่จะได้เป็นแมวผู้ชนะสิบทิศ ได้สิทธิเชยชมนางแมวสาวแต่เพียงแมวเดียว ผู้ใหญ่ขี้รำคาญ หนวกหูเสียงแมวโอ้อวดความเก่งกล้า ครั้งละนานนานเป็นชั่วโมง โดยเฉพาะในยามดึกสงัด เสียงแมวคุยโตข่มกัน นั้นหนวกหูนัก สุดทายกัดกันประเดี๋ยวเดียว จึงจับแมวตัวผู้ตัดหนวด แมวไม่มีหนวด มันอาย นอนซุกซึมเซาอยู่กันที่ ทั้งวันทั้งคืน คล้ายคนป่วยหนักใกล้สิ้นใจ น่าสงสารยิ่งนัก มันไม่เข้าใจ ว่าทำผิดอะไร จึงถูกลงโทษอย่างโหดร้ายทารุณยิ่งกว่าการเฆี่ยนตี
ขอละครับ อย่าลองตัดหนวดแมว สงสารมันนะ

จากคุณ : แมงกะพรุน - [8 พ.ค. 45 02:51:30]

ความคิดเห็นที่ 6
555 ล้อเล่นครับ ผมรักแมวจะตาย ^_^ ที่บ้านเลี้ยง(แบบไม่ตั้งใจ) หลายตัวคือพวกมันพเนจรมาขออยู่เองไม่รู้มาจากไหน
ขอบคุณครับ
จากคุณ : GTW - [8 พ.ค. 45 04:50:28]

ความคิดเห็นที่ 7
คุณแมงกะพรุน ถ้ามีภาพประกอบด้วย จักเป็นพระคุณยิ่ง
จากคุณ : แกงจืด - [8 พ.ค. 45 19:30:16]

ความคิดเห็นที่ 8
เรียนคุณแกงจืด
คุณพูดเหมือนเข้ามายืนอยู่กลางใจ อยากจะให้มี ภาพประกอบเรื่องใจจะขาด แต่ความที่เป็นคนโบราณ เทคโนโลยี่ยังตามไม่ทัน ก็เลยจนใจ
จากคุณ : แมงกะพรุน - [9 พ.ค. 45 04:10:38]

ความคิดเห็นที่ 9
แล้วแมวนอนหวดเป็นยังไงครับ ช่วยอธิบายที
จากคุณ : มูโจ้ - [9 พ.ค. 45 09:22:32]

ความคิดเห็นที่ 10
เรียนคุณมูโจ้
รากศัพท์และที่มาจริง ๆ ของวลีที่ว่า "แมวนอนหวด" ต้องเรียนว่าไม่ทราบ แต่พอที่จะเข้าใจเพราะความที่ได้คลุกคลีกับแมวมาตั้งแต่จำความได้จึงขออนุญาตอธิบายดังต่อไปนี้ แมวนั้นเป็นสัตว์ที่รู้กันอยู่โดยทั่วไปว่า "เจ้าเล่ห์" นอกจากเจ้าเล่ห์แล้วแมวยังมีความอดทนเป็นเลิศ แมวที่เขี้ยวจริง ๆ จะไม่ตะครุบถ้าไม่แน่ใจจริง ๆว่าจะตะครุบติดบางครั้งนอนจ้องเหยื่อตาไม่กระพริบอยู่ได้เป็นชั่วโมงแม้ว่าแมวส่วนใหญ่จะตะครุบทุกอย่างที่กระดุกกระดิกได้ก็ตามท่าที่แมวหมอบนิ่งก่อนที่จะกระโจนตะครุบเหยื่อนั้นได้เห็นทีไรเป็นต้องขนลุกเพราะเหมือนกับเสืออย่างกับแกะ เอ..แปลก พูดเรื่องแมวอยู่ดี ๆ ทำไมกลับกลายเป็นแกะไปได้สิ่งเดียวที่เห็นเคลื่อนไหวไปมาคือหางที่จะส่ายไปมาอย่างช้า ๆ คิดเอาเองนะว่า หางที่ส่ายไปมานี้เอง ที่แผลงไปเป็นคำว่าหวดวลีที่ว่า "แมวนอนหวด" ผู้พูดมักจะเป็นผู้หญิงมีความหมายเป็นเชิงประชดประชันแบบตีวัวกระทบคราดเหตุเพราะจับไม่ได้คาหนังคาเขาว่าผู้ชายของเธอไปทำอะไรมิดีมิร้ายมาถามอย่างไรก็ไม่รับ ทำไม่รู้ไม่ชี้ ทำเป็นเซื่องทำเป็นซึมเหมือนแมวนอนหวดรอจังหวะทีเผลอด้วยความอดทนเหมือนแมว

จากคุณ : แมงกะพรุน - [9 พ.ค. 45 14:54:20]

ไม่มีความคิดเห็น: