วันจันทร์, กรกฎาคม 28, 2551

เรื่องของฉัน ตอนที่ 12


ตอนที่ 12

สิ่งหนึ่งที่เด็กสมัยฉันมีความคุ้นเคยเป็นอย่างดีอีกอย่างหนึ่งนั้นก็น่าจะเป็น “ปิ่นโต” เด็กเกือบทุกคนจะมีอาหารกลางวันใส่ปิ่นโตมาจากบ้านสาเหตุเพราะอาหารของโรงเรียนมีราคาแพงและมีให้เลือกไม่มากนัก ในสายตาของเด็กผู้ชายปิ่นโตเป็นอะไรที่น่าอับอายคล้าย ๆ กับเสื้อหนาวหรือเสื้อกันฝน เด็กผู้ชายคนใดที่ถูกพ่อแม่บังคับให้ใส่เสื้อหนาวหรือเสื้อฝนไปโรงเรียนจะมีอันต้องตกเป็นเป้าหมายให้เพื่อน ๆ ล้อกันเป็นที่สนุกสนาน เด็กชายคนไหนถือปิ่นโตมาโรงเรียนก็มักจะถูกเพื่อนล้อกันเป็นการเอิกเกริกเช่นกัน ต่อมาปิ่นโตได้มีวิวัฒนาการเปลี่ยนมาเป็นตลับข้าวทำด้วยอลูมิเนียมเป็นตลับแบน ๆ ภายในแบ่งเป็นสองส่วนสำหรับใส่ข้าวและกับข้าวแยกออกจากกัน ตลับข้าวนี้ดี เนื่องจากสามารถใส่ซ่อนในกระเป๋าหนังสือได้จึงเป็นที่นิยมอย่างรวดเร็วเนื่องจากไม่ต้องหิ้วปิ่นโตกระรุงกระรังให้เป็นที่อับอายแก่เพื่อนฝูงอีกต่อไป

กับข้าวที่ฉันมักได้ไปกินที่โรงเรียนเป็นพวกไข่ยืนพื้น เช่นไข่คน ไข่เจียว หรือ ไข่ต้ม เป็นต้น นอกจากนั้นที่มีบ่อยจนจำได้คือ หมูต้มราดน้ำปลา ดังนั้น เมื่อเปิดกระเป๋าหนังสือทีไร กลิ่นที่คุ้นเคยนอกจากกลิ่นกระเป๋าปกติแล้วก็คือกลิ่นคาวของอาหารและกลิ่นน้ำปลาอีกด้วย

ชีวิตในวัยเรียนของฉันเป็นอะไรที่ราบเรียบและไม่มีสิ่งให้จดจำมากนัก เนื่องจากเป็นเด็กที่เรียนไม่เก่งจึงไม่เป็นที่ชื่นชอบของครู อนึ่ง เพื่อน ๆ ในวัยเด็กเกือบทั้งหมดล้วนเป็นเด็กที่ฉันไม่คุ้นเคยเพราะเป็นคนละกลุ่มกับพวกเพื่อน ๆ ในละแวกบ้าน เพื่อนที่โรงเรียนในช่วงที่เรียน ป.1 - ป4 ไม่เคยติดต่อกันเลย ล้วนลืมเลือนไปจนหมด จำไม่ได้เสียแล้วว่ามีใครเป็นใครบ้างแม้ว่าจะมีรูปถ่ายเป็นรูปหมู่ถ่ายไว้เป็นที่ระลึกก่อนที่จะจบประถมปีที่สี่ก็ตาม จำได้แต่เพียงว่าฉันเป็นเด็กที่ไม่ค่อยมีเพื่อนเล่นในโรงเรียนและมีบ่อยครั้งที่ต้องเสแสร้งทำเป็นวิ่งเล่นทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครเล่นด้วยเลย

การบ้านโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การบ้านเลขเป็นไม้เบื่อไม้เมากับฉันมาตลอด ความที่เป็นลูกคนโตและไม่มีพี่น้องที่จะพึ่งพาได้ เมื่อประสบปัญหาก็ไม่สามารถถามใครได้ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ฉันจะเป็นนักเรียนที่ทำการบ้านเลขผิดหมดทุกข้อเป็นประจำ และนี่เองเป็นเหตุให้ฉันริอ่านหนีโรงเรียนเนื่องจากทำการบ้านเลขไม่ได้จนถูกแม่ตีเสียเกือบตาย สิ่งเดียวที่ฉันชื่นชอบเกี่ยวกับวิชาเลขคณิตคือสูตรคูณ ก่อนจะกลับบ้านจะมีช่วงเวลาประมาณครึ่งชั่วโมงที่ครูจะสั่งให้นักเรียนทุกคนท่องสูตรคูณออกเสียงดังพร้อม ๆ กันตั้งแต่แม่สองไปจนถึงแม่สิบสอง แม่ที่เด็กท่องได้เสียงดังและพร้อมเพรียงกันมากที่สุดคือแม่สิบเนื่องจากเป็นสูตรคูณแม่ที่ท่องได้ง่ายที่สุด แม่ที่ท่องได้ยากและตะกุกตะกักหน่อยก็น่าจะเป็นแม่หก การท่องสูตรคูณนี้ต้องออกเสียงเฉพาะตัว เช่นคำว่าสอง จะออกเสียงเป็น "ซ้อง" และคำว่า "สาม" จะออกเสียงเป็น "ซ้าม" ตัวอย่างเช่น "ซ้องหนึ่งซ้อง ซ้องซ้องสี่ ซ้องซ้ามหก" เป็นต้น

นอกจากการท่องสูตรคูณแล้วยังมีการท่องบทอาขยาน พวก "เด็กเอ๋ยเด็กน้อย ความรู้เรายังด้อยเร่งศึกษา" หรือ "แมวเอ๋ย แมวเหมียว รูปร่างปราดเปรียวเป็นนักหนา ร้องเรียกเหมียว ๆ เดี๋ยวก็มา" หรือบางตอนจากวรรณคดีเรื่องพระอภัยมณีของท่านสุนทรภู่ ท่องเป็นทำนองเสนาะเป็นท่อน ๆ เช่น "บัดเดี๋ยวดังหง่างเหง่งวังเวงแว่ว สะดุ้งแล้วเหลียวแลชะแง้หา เห็นโยคีขี่รุ้งพุ่งออกมา" เป็นต้น น่าแปลกที่สมัยนี้ไม่เคยเห็นเด็กท่องสูตรคูณหรือบทอาขยานให้ได้ยินอีกเลย ตอนที่ลูกชายคนโตของฉันเรียนอนุบาล เคยได้ยินแกร้องแต่เพลง "เป็ดอาบน้ำในคลอง ตาก็จ้องแลมอง เพราะในคลองมีหอยปูปลา"

เมื่อเรียนจบชั้นประถมปีที่ 4 ป๋าก็พาฉันย้ายโรงเรียนเพราะจบชั้นสูงสุดของโรงเรียนหงส์สุรนันท์แล้ว โดยพาฉันไปเข้าเรียนชั้นประถมปีที่ 5 โรงเรียนปานะพันธ์วิทยา โรงเรียนแห่งนี้อยู่ไกลถึงลาดพร้าวซึ่งในสมัยนั้นถือว่าเป็นชานเมืองและไกลจากบ้านวัดมหรรณ์ฯ ที่ฉันอยู่มาก การไปโรงเรียนแห่งนี้ฉันจะต้องนั่งรถเมล์ถึงสองต่อ โดยเดินจากบ้านไปขึ้นรถเมล์ต่อแรกที่ถนนราชดำเนิน ลงรถเมล์ต่อแรกที่แถวสี่แยกหลานหลวงแล้วนั่งรถเมล์ขาวสายแปดที่วิ่งจากสะพานพุทธยอดฟ้าไปสิ้นสุดระยะที่ลาดพร้าวเลยโรงเรียนไปหน่อยหนึ่ง ก่อนโรงเรียนเปิดเทอม จำได้ว่าป๋าพาฉันนั่งรถเมล์เป็นการซักซ้อม 1 รอบ ในวันจริงซึ่งเป็นวันแรกที่เปิดเรียน ฉันสามารถนั่งรถเมล์ต่อแรกไปลงที่หลานหลวงได้สำเร็จ แต่แทนที่จะรอขึ้นรถเมล์ขาวสายแปดที่ป้ายนั้น ฉันกลับเดินข้ามถนนไปขึ้นรถเมล์อีกฝั่งหนึ่ง ผลคือรถไปสุดสายที่สะพานพุทธฯ จำได้ว่าฉันทำอะไรไม่ถูกในขณะนั้นคิดได้เพียงแต่ว่าต้องกลับไปตั้งหลักที่บ้านก่อน วิธีที่แน่นอนที่สุดคือเรียกรถสามล้อให้พาไปส่งที่บ้านแล้ววิ่งเข้าไปขอค่ารถที่บ้าน ผลที่ตามมาคือถูกตีเสียเกือบตายโดยที่แม่ไม่ยอมเชื่อว่าฉันหลงทางจริง ๆ คิดเพียงแต่ว่าฉันหาเรื่องหนีโรงเรียน อย่างไรก็ตาม ในวันต่อมา แม่สั่งให้น้าอู๊ดเป็นคนพาฉันนั่งรถเมล์ไปโรงเรียน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ฉันก็ไม่เคยนั่งรถเมล์ผิดอีกเลยรถเมล์ในสมัยนั้นยังไม่แน่นขนัดเหมือนรถเมล์ในสมัยนี้ แต่ก็มีการยืนหรือโหนบ้างในบางครั้ง เด็กนักเรียนส่วนใหญ่จะมีใจเอื้อเฟื้อซึ่งกันและกันเป็นอย่างดี พวกที่ได้ที่นั่งจะรับเอากระเป๋าหนังสือของพวกที่ไม่มีที่นั่งไปถือให้เป็นเรื่องปกติ การที่ผู้ชายสละที่นั่งให้ผู้หญิงหรือคนชราก็ถือเป็นเรื่องปกติอีกเหมือนกันถือปฏิบัติกันอยู่ทั่วไป ตรงกันข้ามกับสมัยนี้ที่ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชายเมื่อได้ที่นั่งก็จะรีบหลับไปในทันทีโดยไม่สนใจว่าจะมีเด็ก ผู้หญิง สตรีมีครรภ์ หรือคนชรา มายืนเกาะเก้าอี้อยู่ข้าง ๆ หรือไม่ ค่าโดยสารรถเมล์จำได้ว่าเก็บเพียง 50 สตางค์ตลอดสาย แถมเด็กนักเรียนยังได้สิทธิลดค่าโดยสารโดยซื้อคูปองที่ขายเป็นเล่ม ๆ เล่มละเท่าใดก็ลืมเลือนไปเสียแล้วแต่เมื่อเฉลี่ยแล้วการใช้คูปองจะเสียค่าโดยสารถูกกว่าประมาณ 20 สตางค์ต่อเที่ยว การนั่งหลับบนรถเมล์นั้นถือเป็นผลพลอยได้แต่ต้องหลับแบบมีทักษะ กล่าวคือต้องตื่นให้ทันโดยไม่เลยป้ายที่จะลงจากรถ มิฉะนั้นอาจต้องเดินย้อนกลับไกลโขหรือหากเลยป้ายไปมาก ๆ อาจต้องเดินข้ามถนนไปอีกฝากหนึ่งเพื่อรอนั่งรถเมล์สายเดียวกันย้อนกลับมาก็มี

พนักงานเก็บค่าโดยสารรถเมล์หรือที่เรียกกันว่า "กระเป๋ารถเมล์" เกือบทุกสายยกเว้นรถเมล์ขาว จะเป็นเด็กวัยรุ่นที่มีความคึกคะนอง แม้ว่าพนักงานเก็บค่าโดยสารของรถนายเลิศส่วนใหญ่จะเป็นเด็กวัยรุ่นก็ตาม แต่จะไม่สามารถแสดงความคึกคะนองได้เท่ากับกระเป๋ารถเมล์สายอื่น ๆ ด้วยเหตุที่บริษัทนายเลิศ (รถเมล์ขาว) ถือว่าความสุภาพของพนักงานเป็นเรื่องสำคัญ อีกอย่างคือกระเป๋ารถเมล์ขาว ต้องสะพายกระเป๋าซึ่งใช้เก็บสตางค์ค่าโดยสารและกระบอกตั๋วจึงไม่มีความคล่องตัวเท่ากระเป๋ารถเมล์สายอื่น ๆ ความคะนองของกระเป๋ารถเมล์เริ่มตั้งแต่การกระโดดเกาะรถระหว่างประตูด้านหน้ารถและประตูด้านหลังรถเวลาที่รถชะลอจะจอดหรือจะออกจากป้าย การโหนตัวออกไปนอกรถแล้วเขย่ากระบอกตั๋วเพื่อขอทางรถคันอื่น ๆ และท้ายที่สุดคือความสามารถในการเป่านกหวีด

เด็กสมัยใหม่คงสงสัยว่านกหวีดเกี่ยวอะไรกับกระเป๋ารถเมล์เพราะกระเป๋ารถเมล์สมัยนี้ไม่เป่านกหวีดกันอีกต่อไปแล้ว นกหวีดกับกระเป๋ารถเมล์ในสมัยก่อนเป็นของคู่กัน ด้วยเหตุที่รถเมล์สมัยนั้นยังไม่มีกริ่งสัญญาณ ผู้โดยสารที่ต้องการจะลงต้องใช้วิธีตะโกนบอกกระเป๋ารถเมล์หรือคนขับแล้วแต่ว่าจะอยู่ใกล้กับใครมากกว่าให้จอดป้ายด้วย กระเป๋ารถเมล์จะใช้นกหวีดเป่าส่งสัญญาณต่าง ๆ กับคนขับรถเมล์ เช่นส่งสัญญาณให้ “จอดป้าย” ให้ “ไปได้” เมื่อผู้โดยสารขึ้นและลงหมดแล้ว และหรือ ใ ห้ “เลยไม่ต้องจอดป้าย” หมายความว่าป้ายที่จะถึงไม่ต้องจอดเพราะไม่มีคนลง ส่วนจะมีคนโบกมือขอขึ้นหรือไม่ คนขับต้องดูเอาเอง แต่แม้ว่าจะเห็นคนโบกมือหยอย ๆ อยู่ที่ป้ายด้วยมีความประสงค์ที่จะโดยสารไปด้วย คนขับรถเมล์ก็ยังเป็นผู้เดียวที่มีสิทธิเสร็จเด็ดขาด ในอันที่จะจอดรับหรือไม่ก็ได้

สัญญาณพื้น ๆ คือการเป่านกหวีดสั้น ๆ เมื่อต้องการให้จอดป้าย หรือไปได้ ส่วนสัญญาณให้เลยป้ายนั้นกระเป๋าจะเป่าเป็นสัญญาณสั้น ๆ ติด ๆ กัน กระเป๋าที่มีชั่วโมงบินสูงจะมีความชำนาญในการเป่านกหวีดมากโดยจะสามารถเป่าเลียนคำพูดได้ เช่นหากจะให้จอดป้าย จะเป่าออกเสียงคล้าย ๆ กับ "ป้าย….จอดป้ายด้วย" สร้างความครื้นเครงให้กับผู้โดยสารได้เป็นอย่างดี
โรงเรียนปานะพันธ์เป็นโรงเรียนใหญ่มีนักเรียนมากมายหลายพันคนและเป็นโรงเรียนสหศึกษาคือมีทั้งเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชายเรียนรวมกัน สิ่งที่ฉันจำได้แม่นเกี่ยวกับการเรียนที่โรงเรียนนี้นอกจากข้าวไข่เจียวราดด้วยซีอิ้วดำซึ่งเป็นอาหารจานโปรดของฉันแล้วก็คือ วิธีการที่โรงเรียนใช้ในการทวงค่าเล่าเรียนจากผู้ปกครองของนักเรียนที่ไม่จ่ายค่าเล่าเรียนภายในกำหนด นักเรียนกลุ่มนี้จะต้องร่วมรับผลกรรมกับผู้ปกครองด้วยการที่โรงเรียนจะประกาศซื่อนักเรียนผ่านระบบกระจายเสียงของโรงเรียนซึ่งทุกคนในโรงเรียนไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตามจะได้ยินจนทั่วกันไปหมดให้รีบนำค่าเล่าเรียนมาชำระ ฉันเป็นคนหนึ่งที่ถูกประกาศชื่อเป็นประจำจนกลายเป็นเรื่องชินชาไปในที่สุด

ที่โรงเรียนนี้ฉันเริ่มมีเพื่อนที่สนิทกันจริง ๆ สัก 3 คน คนแรกที่ฉันจำได้แม่นยำนั้นมีชื่อเล่นว่า “ขาว” เพื่อนคนนี้เป็นคนใจนักเลงมีพ่อเป็นเจ้าของร้านโชห่วยขายของสารพัดอยู่หน้าตลาดสะพานสูงแถว ๆ บางกระบือ ฉันเคยไปเที่ยวบ้านขาวครั้งหรือสองครั้ง ด้วยความที่เป็นลูกคนจีนซึ่งเติบโตมาในตลาด ขาวจึงเป็นนักสู้และเป็นคนไม่ยอมคน ตรงข้ามกันฉันซึ่งเป็นคนรักสงบและมักจะยอมคนอื่นเสมอ จำได้ว่าวันหนึ่งฉันเกิดเรื่องแย่งโต๊ะปิงปองกับเด็กซึ่งอยู่ชั้นโตกว่าถึงขั้นที่ไม่สามารถตกลงกันได้โดยสันติวิธี สมัยนั้นหากเด็กตกลงกันไม่ได้ก็จะใช้วิธีท้าไปชกกันหลังโรงเรียน ฉันตกปากรับคำท้าไปด้วยความหน้ามืดทั้ง ๆ ที่ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยชกต่อยกับใครเขาสักที ขาวมารู้เรื่องเอาเมื่อถึงวันนัดและเป็นผู้ที่เข้ารับคำท้าแทนฉัน เด็กคนที่ท้าฉันชกนั้นตัวโตมากทำท่าจะไม่ยอมในทีแรกเนื่องจากไม่ได้มีเรื่องกับขาว ต่อเมื่อขาวต่อให้เด็กคนนั้นหาเพื่อนมาอีกคนหนึ่งเด็กคนนั้นจึงยอมแบบสองรุมหนึ่ง จำได้ว่าเมื่อเริ่มชก ขาวใช้ความรวดเร็วชกเปรี้ยงเข้าที่ปากครึ่งจมูกครึ่งของเด็กคนที่ท้าฉันชก ผลคือเด็กคนนั้นเลือดท่วมปากลงนั่งกุมปากร้องโอดโอยอยู่ ขาวหันมาทางเด็กอีกคนซึ่งเห็นท่าไม่ดีร้องด้วยเสียงอันดังว่า ไม่สู้แล้ว ไม่สู้แล้ว การต่อสู้จึงสิ้นสุดลงโดยที่ฉันและขาวไม่เจ็บตัวแต่ประการใด นับแต่นั้นมาก็ไม่เคยมีเด็กคนใดกล้ามาวอแวกันฉันอีกเลย

เพื่อนอีกคนหนึ่งชื่อ “แจน” เป็นลูกนักเขียนนวนิยายแนวอิโรติครุ่นแรกที่มีชื่อเสียงมาก มีบ้านอยู่ฝั่งธนบุรีริมคลองเจริญพาสน์ ฉันเคยไปเที่ยวเล่นบ้านแจนและลงพากันลงเล่นน้ำในคลอง ฉันซึ่งว่ายน้ำไม่แข็งเกิดเป็นตะคริวและจมลงคิดว่าตัวเองคงตายแน่แล้วแต่ก็เป็นแจนซึ่งเห็นฉันจมหายไม่นานที่โดดลงงมและดึงคอเสื้อฉันขึ้นมาจากน้ำได้สำเร็จ รอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด เพื่อนคนสุดท้ายในกลุ่มชื่อ “แจ๊ค” บ้านอยู่แถวดาวคะนอง ขาวกันฉันยังคบกันเป็นเพื่อนจนฉันเริ่มทำงาน ย้ายออกไปอยู่ต่างจังหวัดจึงห่างเหินกันไปจนไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีจนถึงทุกวันนี้ ส่วนแจนกับแจ๊ค เมื่อป๋าพาฉันย้ายโรงเรียนอีกครั้งก็เริ่มห่างกันและขาดการติดต่อไปโดยสิ้นเชิงในที่สุด

จากคุณ : แมงกะพรุน - [9 พ.ค. 45 04:41:08]

ความคิดเห็นที่ 1
ยิ่งอ่านยิ่งสนุก
จากคุณ : GTW - [9 พ.ค. 45 06:13:08]

ความคิดเห็นที่ 2
เรียน คุณแมงกะพรุน
ยังยืนยันที่ขอให้มีภาพประกอบ มากน้อยก็แล้วแต่โอกาส
จากคุณ : แกงจืด - [9 พ.ค. 45 08:46:36]

ความคิดเห็นที่ 3
เห็นด้วยเรื่องภาพประกอบอยากเห็นคุณแมงกะพรุนเป็นรูปแรกเลย
จากคุณ : มูโจ้ - [9 พ.ค. 45 09:20:20]

ความคิดเห็นที่ 4
เห็นด้วยค่ะว่ายิ่งอ่านยิ่งสนุก
จากคุณ : O-HO - [9 พ.ค. 45 09:54:12]

ความคิดเห็นที่ 5
วันนี้เพิ่งมีเวลาเข้ามานั่งอ่านสี่ตอนรวดค่ะ และไม่สงสัยเลยว่าทำไมเรียงความในวัยเด็กของคุณแมงกะพรุนจึงได้รับรางวัล...อิอิ สมัยเป็นเด็ก ข้าวกล่องที่แม่ชอบทำให้ไปทานที่โรงเรียนคือข้าวไข่เคาะหมูสับหรือไม่ก็ข้าวผัดหมูเค็มค่ะ อร่อยดี
ปล. อยากฟังเสียงเป่านกหวีดที่เลียนเสียงคำว่า "ป้าย"น่ะค่ะ คงจะตลกดี ว่าแล้วก็ขอคลิกโหวตกระทู้ให้ด้วยความชื่นชอบค่ะ
ส่วนเรื่องการส่งภาพเข้าประกอบกระทู้ ตลอดจนการทำลิงก์ตอนก่อนหน้านั้น สามารถทำได้โดยการสมัครเป็นสมาชิกกับพันทิพค่ะ
จากคุณ : njl - [9 พ.ค. 45 10:43:39]

ความคิดเห็นที่ 6
เรียนคุณ njl
ไข่เคาะหมูสับเป็นอย่างไร ฟังชื่อก็รู้ว่าน่ารับประทานเล่าสู่กันฟังบ้าง นะ..นะ หมายเหตุ คนไทยไม่นิยมใช้คำว่าพลีส พลิส บางคนอุตส่าห์แปลมาเป็นได้โปรด..ได้โปรดฟังแล้วแปลกหูพิกล ถ้าจะอ้อนให้ใครทำอะไรอย่ามัวแต่ "ได้โปรด..ได้โปรด" คนไทย เขาอ้อนกันแค่ด้วยคำสั้น ๆ แต่กินใจว่า นะ นะ นะ
จากคุณ : แมงกะพรุน (ใครดี) - [9 พ.ค. 45 15:08:22]

ความคิดเห็นที่ 7
อิอิ…ไข่เคาะหมูสับนั้นเป็นอาหารจานง่ายๆ ค่ะ ทำไม่ยากเลยอันดับแรกก็ตั้งไฟให้ร้อน เอากระเทียมสับลงไปเจียวให้เหลืองหอม (ใส่เยอะๆ จะหอมดี) ตามด้วยหมูสับละเอียดไม่ต้องมาก แค่ประมาณกำปั้นเล็กๆ ค่ะ ผัดหมูให้สุก แล้วปรุงรสด้วยน้ำมันหอย พริกไทย ซอส น้ำปลาพอได้ที่แล้วก็เคาะไข่ใส่ลงไปในกระทะสองฟอง ตีไข่แดงให้แตก เกลี่ยๆ ให้คลุมหมู หลังจากนั้นก็ผัดทั้งไข่และหมูให้แห้งค่ะ แต่ในระหว่างที่ไข่ยังไม่สุกนั้น อย่าไปคนบ่อยนะคะแค่ใช้ตะหลิวพลิกไปพลิกมาก็พอ เดี๋ยวจะเหม็นคาว (พอชักจะเริ่มสุกแล้วจึงค่อยขยี้ ) และเมื่อแห้งส่งกลิ่นหอมฉุยแล้ว อาจจะใส่น้ำปลาเหยาะลงไปคลุกเคล้าหน่อยโรยพริกไทยอีกนิด คลุกไปคลุกมา แล้วก็เอาขึ้นใส่จานทานกับข้าวสวยร้อนๆอร่อยมากเชียวค่ะ…อิอิ (หรือจะทานกับน้ำพริกเขียว น้ำพริกแดงก็อร่อยไม่แพ้กัน) ข้างบนนี่เป็นสูตรของแม่ค่ะ พวกลูกๆ จึงตั้งชื่อให้ว่าไข่เคาะหมูสับ หรือไข่ขยี้หมูสับเพราะต้องเคาะไข่ใส่กระทะ แล้วก็เอาลงไปขยี้กับหมูสับผัดไปผัดมาให้แห้งค่ะแต่ถ้าเป็นสูตรของโคอาร่าเอง จะผัดหมูให้สุก แล้วเคาะไข่ใส่ถ้วยเพื่อตีรวนให้เหมือนไข่ฟูค่ะ เพราะว่าโคอาร่าจะใส่หัวหอมแดง พริกไทย น้ำมันหอยลงไปในไข่ด้วย หลังจากนั้นจึงค่อยเทลงกระทะ ส่วนขั้นตอนอื่นๆ ก็เหมือนกันค่ะ ต้องผัดทั้งหมูและไข่ให้แห้ง( จะไม่เหมือนไข่เจียวเพราะไข่เจียวใส่หมูน้อย ใช้น้ำมันเยอะ และเมื่อทอดเสร็จ ไข่จะเป็นแพสวย แต่ไข่เคาะหมูสับหรือไข่ขยี้หมูสับ ใช้น้ำมันน้อย หมูเยอะกว่า และไข่จะถูกขยี้จนไม่เป็นแพแล้วค่ะ…อิอิ ) ทีนี้ถ้าเกิดอยากจะทำข้าวผัดก็ใส่ข้าวลงไปคลุกในกระทะได้เลย แล้วปรุงรสด้วยซอส น้ำปลา น้ำตาล ตามด้วยต้นหอม ผักชี ถ้ามีกุ้งแห้งด้วยก็ยิ่งอร่อยค่ะ…อิอิ เสิร์ฟแกล้มกับแตงกวาจะดูสวยงามน่ารับประทานยิ่งขึ้น ว่าแต่ว่า…อ่านแล้วอย่าจินตนาการหุ่นของ njl นะคะ :)
ปล. ติดใจเมนูที่คุณแมงกะพรุนพูดถึงในตอนต้นๆ อยู่เมนูหนึ่งค่ะ โคอาร่าขออนุญาตเรียกว่าแกงจืดผักดองเต้าหู้ทอดทรงเครื่องถ้ามีโอกาสจะลองทำทานดูค่ะ
จากคุณ : njl - [9 พ.ค. 45 20:36:34]

ความคิดเห็นที่ 8
ขอบคุณคุณแมงกะพรุนมากเลยที่เขียนเรื่องดีดีอย่างนี้ให้อ่าน ยังไม่ได้อ่านทั้งหมดนะคะ แต่ว่า copy อยู่ในเครื่องแล้ว ขอบคุณคุณ njl ด้วยที่ช่วยทำ link ให้ พออ่านจบก็คิดอยู่ว่าจะต้องไปหาอ่านให้ครบ จะขอเอากระทู้นี้ไปแนะนำในห้องสวนลุมนะคะ เชื่อว่าต้องมีหลายคนตามมาเป็นแฟนประจำแน่นอนค่ะ
จากคุณ : วูลฟ์เวอรีน่า - [9 พ.ค. 45 21:03:00]

ความคิดเห็นที่ 9
เรียนคุณ njl
แหม..อ่านถึงตอนที่ว่ากลัวเหม็นคาวไข่ ใจรีบบอกว่า..ซอยหอมแดงใส่สิพอโคอาร่า (หมี?) มาแปลงสูตร ของคุณแม่ จึงเห็นว่ามีหอมแดงด้วยโล่งใจไปสำหรับผู้ที่ชอบรับประทานอาหารสูตรไข่ แต่ไม่ชอบคาวไข่ขอเรียนว่าหอมแดงซอย..ใช้แก้คาวไข่ได้ดีแต่ต้องเป็นสูตรทอดสูตรต้มหรือแกงไม่ได้ผลต้องทนเอา..ถ้ารักจะกินไข่ ขออนุญาตเสริมให้อีกสูตรถ้าเบื่อข้าวพอผัดเครื่องสูตรโคอาร่าได้ที่แล้วตั้งขึ้นพักไว้เอากระทะอีกใบ ตั้งไฟให้ร้อน ใช้ไฟแรงใส่น้ำมันงา..เอาก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ลงผัดให้เส้นหอม อย่าผัดนานมาก เอาแค่บางเส้นเกรียมถ้าไฟแรงได้ที่จริง ๆ อาจมีไฟแดง (แบบผักบุ้ง) แล้วเทเครื่อง ไข่เคาะหมูสับที่พักไว้ลงรวนกับเส้น ผัดให้เข้ากันถ้าแห้งไป..ให้เติมน้ำมันงาได้เป็นระยะ..ระยะ ดับไฟ..ตักแบ่งใส่จานแจกไปตามจำนวน ลูกนกที่รออยู่ไม่เกินห้านาทีต้องมีเสียงเรียกร้อง "เอาอีก..เอาอีก"
จากคุณ : แมงกะพรุน - [10 พ.ค. 45 04:04:46]

ความคิดเห็นที่ 10
อ่านจนหิวเลย หิวข้าว.T_T อยู่ปากซอยแน่ะ
จากคุณ : GTW - [10 พ.ค. 45 13:43:03]

ความคิดเห็นที่ 11
สนุกมากเลยค่ะ ทำให้นึกถึงเรื่องของตัวเองตอนเด็กๆบ้าง แม้ว่าจะไม่เก่าขนาดนี้ก็ตามเถอะค่ะ แต่ก็ไม่เหมือนสมัยนี้เหมือนกันค่ะ
จากคุณ : ก้อย-บูตะ (ก้อย-บูตะ) - [10 พ.ค. 45 18:19:41]

ความคิดเห็นที่ 12
แวะมาอ่านจนติดเลยครับ ชอบมาก ขอบคุณครับ
จากคุณ : Lazy Genius - [11 พ.ค. 45 10:09:49]

ความคิดเห็นที่ 13
กับข้าวของแม่เรามีแต่ไข่ดาวทุกวันเลยเพราะแม่ต้องตื่นไปตลาดตั้งแต่ตีสี่ มีวันนึงเราเบื่อมากแล้วก็ไม่สบายนิดๆ เลยไม่กินข้าวกลางวัน ผลสุดท้ายเป็นลมจนครูต้องพาไปส่งบ้าน หลังจากวันนั้นกับข้าวของเราก็ได้เปลี่ยนหน้าตาทุกวัน เราได้กับข้าวอร่อยแต่แม่ต้องขาดรายได้ลงไปนิดนึง เพราะต้องเสียเวลาทำกับข้าวให้เรา จนบัดนี้ไม่รู้ว่าจะดีใจหรือเสียใจดี
จากคุณ : หนูนิด หนูหน่อย หนูไก่ หนูแจ๋ว - [14 พ.ค. 45 15:00:51]

ความคิดเห็นที่ 14
ที่สุดของความรักคือความรักที่พ่อและแม่มีให้กับลูกไม่มีความรักใด เทียบได้รู้แล้วก็รีบตอบแทนในขณะที่ยังทำได้แค่ยิ้มสักนิด
ทักทายสักหน่อยแม่จ๋าพ่อจ๊ะอย่ารอให้สายแล้วนั่งเสียใจว่าทำไมเราจึงไม่ทำ
จากคุณ : แมงกะพรุน - [15 พ.ค. 45 06:04:12]

ความคิดเห็นที่ 15
แถวๆมหาลัยจะเรียกว่า ข้าวหมูรวนนะครับ อร่อยมาก
จากคุณ : บ.ท. - [29 พ.ค. 45 21:39:41 A:203.148.184.145 X:]

ไม่มีความคิดเห็น: