วันจันทร์, กรกฎาคม 28, 2551

เรื่องของฉัน ตอนที่ 13


ตอนที่ 13
วัยรุ่น พ.ศ. 2507 – 2513

ในช่วงปี 2506 - 2507 ท่านจอมพลนายกรัฐมนตรีในสมัยนั้นก็เสียชีวิตลง มีศัพท์ติดหูคำใหม่คือคำว่า "อสัญกรรม" แปลว่า ตาย จำได้ว่ามีทั้งคนที่เสียใจและคนที่ดีใจ ฉันยังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจเหตุผล แต่ที่ส่งผลกระทบกับเด็ก ๆ เป็นอย่างมากคือรายการต่าง ๆ ที่ออกอากาศทางวิทยุและโทรทัศน์รวมถึงภาพยนตร์ละครทุกชนิดในช่วงนั้นถูกสั่งงดลงทั้งสิ้น คงมีแต่รายการข่าวและชีวประวัติของท่านจอมพลที่ถูกนำมาออกอากาศแทนเป็นช่วง ๆ นอกจากนั้นก็เป็นการบรรเลงเพลงพญาโศก เพลงธรณีกรรแสง และเพลงไทยเดิมอื่น ๆ ส่งผลให้บรรยากาศเศร้าซึมอยู่ทั่วไป

หลังจากที่ท่านจอมพลถึงแก่อสัญกรรมได้ไม่นาน ก็มีศัพท์ใหม่ให้เด็ก ๆ ได้ยินอีกคำหนึ่งคือคำว่า "อนุภรรยา" มีการตีแผ่เป็นข่าวเกรียวกราวผ่านสื่อต่าง ๆ เกี่ยวกับกรุสมบัติมูลค่ามหาศาลและบัญชีรายชื่อของบรรดา "อนุภรรยา" ในสังกัดของท่านหรือที่เรียกกันอย่างครื้นเครงโดยทั่วไปว่า "แม่ม่ายผ้าขะม้าแดง" ใครที่รู้ข่าววงในเกี่ยวกับบรรดา "อนุฯ" ของท่านทั้งหลายก่อนคนอื่นจะกลายเป็นคนสำคัญมีคนตามไปล้อมวงจับกลุ่มซุบซิบกันสักพักก็จะได้ยินคำถามว่า "เฮ้ย ใช่เหรอ..คนนี้ด้วยเหรอ" สลับกับเสียงฮาอย่างครื้นเครงดังเป็นระยะ พอเด็ก ๆ อย่างฉันเลียบ ๆ เคียง ๆ เข้าไปจะขอฟังบ้าง ก็จะถูกไล่หนีเล่นที่อื่นทุกทีไปด้วยเหตุผลง่าย ๆ ที่ฉันได้รับฟังด้วยความหงุดหงิดมาตั้งแต่เด็กคือ "เรื่องของผู้ใหญ่" หรือ "ไม่ใช่เรื่องของเด็ก"ฉันเรียนที่โรงเรียนปานะพันธ์จนจบชั้นประถมปีที่ 7 ผลการเรียนก็เป็นแบบเดิม ๆ คือลุ่ม ๆ ดอน ๆ แม้จะสอบไม่ตกก็เกือบตกเป็นประจำสร้างความวิตกกังวลให้กับป๋ามากจนถึงขั้นจับฉันย้ายโรงเรียนอีกครั้ง คราวนี้ป๋าได้รับคำแนะนำจากเพื่อนว่ามีโรงเรียนของนักบวชฝรั่งเปิดสอนเป็นปีแรกอยู่แถว ๆ บางนา จึงดั้นด้นไปค้นหาจนพบและลงมติว่าผลการเรียนของฉันน่าจะดีขึ้นหากย้ายมาอยู่โรงเรียนแห่งนี้

โดยที่มิได้มีส่วนลงคะแนนเสียงแต่อย่างใด ฉันถูกย้ายมาเรียนที่โรงเรียนแห่งใหม่ในชั้นที่สมัยนั้นเรียกว่า มัธยมศึกษาปีที่ 1 (ม.ศ. 1) เนื่องจากเป็นโรงเรียนที่เป็นโรงเรียนของนักสอนศาสนาไม่มีทุนมากจึงต้องไปปลูกสร้างอยู่บนที่ดินที่ชาวบ้านบริจาคให้แถวชานเมืองที่เรียกกันว่า "บางนา" โรงเรียนแห่งนี้คือโรงเรียนลาซาล เป็นโรงเรียนซึ่งรับสอนเฉพาะเด็กผู้ชายล้วน ๆ ในปัจจุบันเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงและเข้าเรียนได้ยากมากแห่งหนึ่ง ฉันได้เข้าไปเป็นนักเรียนรุ่นแรกได้เลขประจำตัว 580 โรงเรียนลาซาลมีพื้นที่กว้างใหญ่แต่เป็นที่โล่ง ๆ เนื่องจากเดิมเป็นท้องนา มีเพียงตึก 4 ชั้นซึ่งใช้เป็นที่เรียนและที่พักของนักบวช (บราเดอร์) ซึ่งทำหน้าที่เป็นครู นักเรียนประจำ รวมถึงครูคนไทยบางคนซึ่งมีหน้าที่ดูแลนักเรียนประจำและขับรถโรงเรียนไปด้วย
โรงเรียนกำหนดให้นักเรียนเรียกนักบวชที่สอนว่า "บราเดอร์" ถ้าให้ฉันแปลเป็นไทยน่าจะใกล้เคียงกับคำว่า "หลวงพี่" มากที่สุดแต่กลับแปลเป็นทางการว่า "ภราดา" แทน ให้เรียกครูผู้ชายคนไทยว่า "มัสเซอร์" ซึ่งน่าจะเพี้ยนมาจากคำว่า "มาสเตอร์" หรือ "มิสเตอร์" และเรียกครูไทยผู้หญิงว่า "มิส" ในความเห็นของฉัน สรรพนามเหล่านี้เป็นอะไรที่จืดชืดเมื่อเทียบกับคำว่า "ครู" ที่ฉันคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก

การเดินทางมาเรียนที่โรงเรียนลาซาลหากจะเปรียบไปแล้วก็คล้ายกับการผจญภัย นักเรียนจะต้องนั่งรถโรงเรียนซึ่งทางโรงเรียนจัดให้มีวิ่งรับนักเรียนหลายสายด้วยกันทั้ง ๆ ที่มีรถอยู่เพียง 4 คัน รถแต่ละคันก็ล้วนเป็นรถเก่าคร่ำ เดิมน่าจะเป็นรถ บขส เนื่องจากตัวถังซึ่งเป็นไม้ทาสีส้ม เวลาวิ่งนอกจากจะเสียงเครื่องยนต์จะดังสนั่นจนพูดจากันแทบไม่รู้เรื่องแล้ว ยังมีเสียงไม้ลั่นดังเอี๊ยดอ๊าดเป็นเอกลักษณ์อยู่ทั่วไป สมัยนั้นรถญี่ปุ่นยังไม่มีแพร่หลายทั้งรถบรรทุกและรถนั่ง รถเกือบทั้งหมดจึงเป็นรถที่นำเข้ามาจากประเทศแถบยุโรปหรืออเมริกา รถที่เป็นรถบรรทุกแล้วคนไทยดัดแปลงเอามาทำเป็นรถเมล์หรือรถโดยสารวิ่งรับส่งคนระหว่างจังหวัดเป็นรถยุโรป มีเครื่องยนต์อยู่ในห้องเครื่องยนต์ที่ยื่นออกไปด้านหน้าเวลาชนกันคนขับมักไม่เป็นอะไรมากเนื่องจากมีเครื่องยนต์ช่วยปะทะเอาไว้ ต่างกับรถในปัจจุบันที่เอาเครื่องยนต์ไปไว้ด้านหลังหรือไม่ก็หุบเข้ามาไว้ด้านในรถโดยสารหรือรถบรรทุกที่เห็นในปัจจุบันจึงกลายเป็นรถหน้าตัดไปเสียทั้งสิ้นเวลาชนประสานงากันคนขับจึงมักจะไปไหนไม่รอดจอดไม่ต้องแจวคาอยู่กับทีนั้นเอง

ฉันจำได้ว่าทีใช้รับส่งนักเรียนโรงเรียนลาซาลคันหนึ่งเป็นรถยี่ห้อ M.A.N อีกคันยี่ห้อ DESOTO ส่วนอีกสองคันเป็นรถที่เช่ามามีสภาพเก่าไม่แพ้กันแต่ยังใหม่กว่าสองคันแรกแต่ก็จำยี่ห้อไม่ได้เสียแล้ว รถทั้งสี่คันนี้จะสลับกันเสียให้เด็กรอเก้อกันเป็นประจำ รถโรงเรียนจะวิ่งรับเด็กที่อยู่แถวบางปู บางปิ้ง หรือสมุทรปราการ (ปากน้ำ) และมีเพียงสายเดียวที่รับเด็กจากทางกรุงเทพฯ ต้นทางอยู่ตรงข้ามโรงแรมเอราวัณ ฉันนั่งรถเมล์มาต่อรถโรงเรียนที่จุดนี้

จากถนนสุขุมวิท ทางเข้าโรงเรียนเป็นซอยลูกรังมีระยะทางประมาณ 6 - 7 กิโลเมตร ซอยแห่งนี้เมื่อมีรถวิ่งผ่านจะส่งฝุ่นให้ฟุ้งกระจายเป็นกรวยขึ้นไปในอากาศ แต่วันใดที่มีฝนตกจะกลายเป็นโคลนไปในทันที รถจะวิ่งได้ก็ด้วยความยากลำบาก บางเที่ยวต้องใช้เวลาเกือบ 1 ชั่วโมงเพราะต้องวิ่งหลบหลุมโคลนไปมามิฉะนั้นล้อรถจะติดหล่มวิ่งต่อไปไม่ได้ นักเรียนจะต้องพากันลงเดินตามคันนาไปยังคลองที่ซอยแห่งนี้ตัดเรียบไปเพื่อนั่งเรือหางยาว เมื่อขึ้นจากเรือแล้วยังต้องเดินตามคันนาไปอีกประมาณ 1 กิโลเมตรจึงจะถึงตัวโรงเรียน สะบักสบอมไปตาม ๆ กัน ทั้งเด็กทั้งครู

เทอมแรกที่โรงเรียนนี้เป็นอะไรที่แปลกใหม่มากสำหรับฉันเนื่องจากได้เรียนภาษาอังกฤษจากครูฝรั่งต่างชาติซึ่งมิใช่ฝรั่งที่เป็นชาติเจ้าของภาษา ด้วยตัวท่านอธิการและบราเดอร์เกือบทุกคนเป็นคนฝรั่งเศส มีบราเดอร์อยู่คนหนึ่งเป็นคนจีน ครูและนักเรียนทุกคนในโรงเรียนจึงเรียกท่านว่า "บราเดอร์จีน" อย่างไรก็ดี ฉันเริ่มคิดว่าภาษาอังกฤษเป็นสิ่งที่น่าสนใจกว่าแต่ก่อน ปัญหาหลักของฉันในการเรียนยังเป็นวิชาคณิตศาสตร์ ที่เพิ่มขึ้นมาก็ล้วนเป็นวิชาที่เกี่ยวข้องกันเช่น เรขาคณิต และตรีโกณมิติ เป็นต้น ที่โรงเรียนลาซาลแห่งนี้นี่เองที่ฉันกล้าพอที่จะแจ้งต่อมัสเซอร์ประจำชั้นว่าฉันไม่ชอบวิชาคำนวณและมัสเซอร์คนนั้นก็รับฟังโดยดุษฎี ผลคือฉันสอบเทอมแรกตก เป็นการสอบตกครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิตการเรียนของฉัน

เนื่องจากเป็นโรงเรียนที่เปิดใหม่ จำนวนนักเรียนจึงยังมีไม่มากนัก นักเรียนส่วนใหญ่จะเป็นเด็กที่มาจากจังหวัดสมุทรปราการหรือปากน้ำ หรือ ไม่ก็อยู่ในละแวกใกล้เคียง เช่นแถบสำโรง บางปู หรือไม่ก็เป็นลูกหลานเจ้าของโรงฟอกหนังแถวบางปิ้ง คงจะมีเพียงฉันซึ่งมีบ้านอยู่ไกลถึงฝั่งธนฯ เรียกว่าอยู่คนละจังหวัดเลยก็ว่าได้ สิ่งที่ดีมากที่โรงเรียนลาซาลในความเห็นของฉัน คือการที่โรงเรียนปกครองนักเรียนด้วยระบบคุณธรรม กล่าวคือหากนักเรียนทำผิดจะถูกเฆี่ยนตี แต่ถ้าทำดีนักเรียนก็จะได้รับรางวัลเป็นกระดาษแข็งแผ่นสี่เหลี่ยมขนาด 1x1 นิ้ว มีรูปไม้กางเขนอยู่ตรงกลาง เรียกว่า "กู๊ดมารค์" มีสีและมูลค่าต่าง ๆ กันให้ตามชั้นระดับคุณงามความดีที่นักเรียนทำ นักเรียนทุกคนอยากได้กันเพื่อเก็บสะสมไว้ พอถึงเทศกาลคริตสมาส โรงเรียนจะนำเอาของเล่นดี ๆ ออกมาตั้งโชว์ไว้ ใครที่มีกู๊ดมาร์คที่มีมูลค่ามาก ๆ ก็จะแลกได้ของเล่นดี ๆ ไปครอบครองให้คนอื่นอิจฉาเล่น

พูดถึงเรื่องการเฆี่ยนแล้วทำให้นึกถึงมัสเซอร์คนหนึ่ง แกชื่อมัสเซอร์สิทธิศักดิ์ เป็นครูที่ดุมาก พูดน้อยคำ เท่าที่จำได้แกไม่เคยพูดตลกเลย นอกจากจะทำหน้าที่เป็นครูประจำชั้น ม.ศ. 3 ห้อง A แล้วแกยังมีหน้าที่สอนวิชาเรขาคณิตและขับรถ M.A.N รับส่งนักเรียนสายบางปิ้งด้วย สิ่งที่แกถือติดมือเป็นประจำคือไม้เรียวซึ่งจ้างเขาทำมาโดยเฉพาะอาบแล๊กเกอร์เป็นมันวับ ใครที่คุยในห้อง หรือ ไม่ทำการบ้าน หรือ ทำการบ้านผิดซ้ำซาก เป็นต้องโดนตี ฉันเองก็เคยโดนแกตีเอาหลายครั้งเหมือนกัน มีเพื่อนในห้องบางคนที่รู้ตัวล่วงหน้าว่าจะโดนมัสเซอร์สิทธิศักดิ์ตี แอบใส่กางเกงซ้อนกันมาหลายตัว เมื่อแกฟาดไปทีแรกก็รู้ เพราะเสียงไม้ที่ฟาดไปบนก้นของเพื่อนคนนั้นมันดังปุ ทึบ ๆ ชอบกล โทษของมันที่ตั้งไว้ที่แรก 3 ที เลยถูกเพิ่มเป็น 6 ที ส่วนที่ตีไปแล้วไม่นับ เริ่มนับหนึ่งใหม่ คราวนี้มัสเซอร์แกเลื่อนตำแหน่งตีจากก้นมาเป็นขาอ่อน แถบที่พ้นขากางเกงออกมา ผลคือขาอ่อนไหม้ เดิน ขโยกเขยกไปหลายวัน มีบางวันที่มัสเซอร์แกลืมเอาไม้เรียวมาแต่มีเหตุต้องตีเด็ก เนื่องจากแกเป็นครูสอนเรขาคณิต จึงใช้วงเวียนได้อย่างคล่องแคล่ว แกก็จะหันไปคว้าเอาวงเวียนขนาดใหญ่ที่ทำด้วยไม้ มากฟาดก้นเด็กแทนโรงเรียนลาซาลเป็นโรงเรียนที่ดำเนินการโดยนักบวช ฉันมารู้เอาภายหลังว่าเป็นนักบวชฝรั่งเศสนิกาย “คริสตัง” โรงเรียนจึงกำหนดเป็นระเบียบให้นักเรียนทุกคนต้องท่องบทสวด "วันทา..มารีอา เปี่ยมด้วย หรรษทาน พระสวามีสถิตย์กับท่าน ฯลฯ" ก่อนเข้าชั้นและหลังเลิกเรียน นอกจากนี้นักเรียนทุกคนยังต้องเรียนวิชาพิเศษ เรียกว่าวิชา "คำสอน" เป็นเรื่องของศาสนาคริสต์ล้วน ๆ หนังสือคำสอนเป็นหนังสือที่อ่านแล้วไม่ค่อยรู้เรื่องเพราะเต็มไปด้วยคำศัพท์ออกเสียงแปลก ๆ ฟังแล้วคล้ายกับว่าไม่ใช่เป็นภาษาไทย ที่แปลกอีกอย่างคือโรงเรียนนี้หยุดเรียนวันพฤหัสกับวันอาทิตย์ แทนที่จะเป็นการหยุดเรียนในวันเสาร์และอาทิตย์เช่นโรงเรียนอื่นโดยทั่วไป

จากคุณ : แมงกะพรุน - [13 พ.ค. 45 04:19:08]

ความคิดเห็นที่ 1
มัสเซอร์สิทธิศักดิ์ น่าจะเปลี่ยนเป็น มัสเซอร์ซาดิสม์ ล้อเล่นครับ คิดว่าคงเป็นการแสดงความรักและห่วงไยนักเรียนในแบบฉบับของแก
จากคุณ : GTW - [13 พ.ค. 45 05:27:39]

ความคิดเห็นที่ 2
เออ แน่ะ นับถือคุณ GTW เสียจริง เข้ามาเมื่อใดเวลาไหนเช้า..สาย..บ่าย...ค่ำ เป็นต้องเจอะเจอปกตินอนเวลาไหนหรือครับ
จากคุณ : แมงกะพรุน - [13 พ.ค. 45 06:14:39]

ความคิดเห็นที่ 3
ตามมาอ่านด้วยค่ะ ได้ยินชื่อโรงเรียนลาซาลมานานแล้ว พึ่งรู้วาสภาพเมื่อก่อนทุลักทุเลน่าดู กว่าจะถึงโรงเรียน น่าสนุกเหมือนกันนะค่ะ นับถือคุณ GTW เหมือนกันค่ะ เห็นเป็นคนแรกๆ เสมอเช่นกันค่ะ
จากคุณ : ธราธร - [13 พ.ค. 45 07:07:48]

ความคิดเห็นที่ 4
ขออนุญาตมาชื่นชมเอาตอนนี้นะคะได้ความหลัง ได้ความงามทั้งรูปภาษา และรูปถ่ายขอบพระคุณค่ะ
จากคุณ : ปราณ - [13 พ.ค. 45 07:11:10]

ความคิดเห็นที่ 5
ตามอ่านค่ะ
จากคุณ : 3P - [13 พ.ค. 45 09:35:22]

ความคิดเห็นที่ 6
เข้ามาอ่านในตอนนี้เป็นตอนแรกครับ เมื่ออ่านแล้วก็หยุดไม่ได้ต้องย้อนกลับไปอ่านตั้งแต่ตอนที่หนึ่งเรื่อยมา และขอปรบมือให้ว่าเขียนได้เยี่ยมจริงๆ เชียว ผมเองก็พลอยจินตนาการเห็นภาพตามไปด้วย ว่าแล้วก็ขอปวารณาตัวเป็นแฟนนักอ่านเพื่อคอยอ่านตอนต่อไปด้วยใจจดจ่อซะเลย ด้วยคารวะขอรับ
จากคุณ : สาวกห้ากระสอบ - [13 พ.ค. 45 10:13:47]

ความคิดเห็นที่ 7
ทำไมมัสเซอร์คนนั้นโหดจังคะ แต่ก็เป็นธรรมดาที่สมัยก่อน ครูจะลงโทษนักเรียนด้วยวิธีแบบนี้ เอ้อ ขออนุญาตคุณแมงกะพรุนเซฟรูปถนนราชดำเนินไว้นะคะ ชอบดูมากเลยค่ะ
จากคุณ : O-HO - [13 พ.ค. 45 11:32:36]

ความคิดเห็นที่ 8
ตอนเป็นเด็กเคยโดนครูผมฟูๆ ชื่อครูแมวหยิกค่ะ เจ็บน่าดู และเกลียดวิธีการนี้มากแต่ก็จำไม่ได้แล้วเหมือนกันว่าโดนหยิกเพราะอะไร...แหะๆ
จากคุณ : โคอาร่า - [14 พ.ค. 45 13:03:14]

ความคิดเห็นที่ 9
สวัสดีครับ ผมเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนลาซาล เหมือนกันครับ แต่ผมพึ่งจบมาได้ เมื่อปี 2542 นี่เองครับ บ้านอยู่หน้าโรงเรียน ปัจจุบันนี้ ได้เปลี่ยนไปมากแล้วครับ ผมก็เคยได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับความเป็นมาของโรงเรียนจากครูหลายๆ คน ปัจจุบันนี้มีสภาพบรรยากาศภายในโรงเรียนที่ผมถือว่าดีมากแห่งหนึ่งของกรุงเทพเลยครับ แล้วหลายๆสิ่งหลายๆ อย่างที่โรงเรียนนี้สอนผม ทั้งที่ผมชอบ หรือไม่ชอบ มันมีประโยชน์ต่อชีวิตผมในปัจจุบันนี้มากครับ อยากขอบคุณโรงเรียนลาซาล ที่ทำให้ทำเป็นคนที่ดีในวันนี้
จากคุณ : ^EsquirE^ - [27 พ.ค. 45 16:58:36 A:203.113.36.9 X:]

ไม่มีความคิดเห็น: