วันจันทร์, กรกฎาคม 28, 2551

เรื่องของฉัน ตอนที่ 8

ตอนที่ 8

ยายมีที่พักอาศัยถาวรอยู่ในวังของพระองค์เจ้าหญิงพระองค์หนึ่งแถว ๆ ถนนพระอาทิตย์ตรงข้ามกับร้านแดงต้อยละแวกบางลำพู ที่ยายอยู่เป็นบ้านพักของข้าหลวงในวังนั้นเป็นเรือนแถวแบ่งเป็นห้อง ๆ จำได้ว่าห้องที่ยายอยู่เป็นห้องตรงกลาง ๆ ของเรือนแถว มีพื้นเป็นไม้แผ่นใหญ่ที่ผ่านการขัดถูมานานวันจนลื่นและเรียบเป็นมัน สามารถนั่งนอนเล่นได้เย็นสบาย วังนี้อยู่ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา กลิ่นและบรรยากาศของแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นอะไรที่ยากจะบรรยายความ อาจสรุปรวมได้เพียงว่าเป็นสิ่งที่เรียบง่ายและสงบ เสียงที่ถือว่าดังที่สุดในแม่น้ำสมัยนั้นคือเสียงของเรือกลไฟที่วิ่งเอื่อย ๆ ขึ้นล่องลากเรือบรรทุกหรือที่เรียกกันว่าเรือเอี้ยมจุ๊นพ่วงต่อกันเป็นงูกินหางอยู่ในลำน้ำ นอกนั้นล้วนเป็นเรือแจว เรือพาย หรือ เรือกาแฟที่พายขายกาแฟและขนมขบเคี้ยวต่าง ๆ เช่นถั่วทอดหรือขนมโก๋ เป็นต้น เรือนี้มีแตรยางที่ผู้ขายกาแฟจะบีบดัง “ปู๊น ๆ” เป็นสัญญาณว่าเรือกาแฟมาแล้ว

การขายของเร่ในสมัยก่อนส่วนใหญ่จะเป็นการหาบของเร่ขายไปตามย่านชุมชุนต่าง ๆ มิได้เป็นแผงลอยหรือรถเข็นรถเครื่องเหมือนในปัจจุบัน ผู้ขายจะใช้วิธีตะโกนร้องบอกถึงสิ่งของที่ตนขายไปเรื่อย ๆ หากเป็นแม่ค้าก็จะลงท้ายเป็นธรรมเนียมด้วยคำว่า “แม่เอ๊ย” เช่น “ข้าวหมาก ข้าวหลาม มะพร้าวเผา มาแล้ว แม่เอ๊ย” หรือ “ขนมปลากริมไข่เต่ามาแล้ว แม่เอ๊ย” เป็นต้น ความที่คนไทยเป็นชาติศิลปินการร้องขายของดังกล่าวข้างต้น ผู้ร้องจะต้องเอื้อนเสียงให้เป็นจังหวะไม่เร็วหรือช้าจนเกินไปจึงจะไพเราะสามารถเรียกลูกค้าให้ซื้อสินค้าของตนได้ พ่อค้าหรือแม่ค้าที่ใช้วิธีร้องจะเป็นคนไทย สำหรับคนจีนนิยมใช้สัญญาณอื่น ๆ มากกว่า อาจเป็นได้ว่าเพื่อประหยัดแรงหรืออาจเป็นเพราะร้องขายของเป็นภาษาไทยไม่ชัดก็ได้ เช่นเรือกาแฟที่ใช้วิธีบีบแตรยาง หรือหาบบะหมี่เกี๊ยวที่ใช้วิธีเคาะเกราะหรือแผ่นไม้ไผ่เป็นจังหวะเร้าใจ การเคาะเกราะของหาบบะหมี่เกี๊ยวนี้แปลกในความเห็นของฉัน กล่าวคือเจ้าใดก็ตามที่เคาะเกราะได้เป็นจังหวะน่าฟังมีช่วงเว้นวรรคถูกต้องตามตำรา มักจะเป็นหาบบะหมี่เกี๊ยวที่อร่อยกว่าเจ้าอื่น

ดังที่เล่ามาแล้วว่ายายกับตานั้นโกรธกัน และตั้งแต่ฉันจำความได้ทั้งสองก็ไม่มองหน้ามิได้อยู่ร่วมกันแล้ว ยายอยู่กับชายอีกคนหนึ่งที่ฉันถูกสอนให้เรียกว่า “ลุง” กับ น้าอู๊ด ซึ่งเป็นลูกสาวคนสุดท้องของยาย อาชีพหลักของยายคือขายข้าวแกง ส่วนลุงนั้นยึดอาชีพถีบสามล้อถีบ ต่อมาภายหลังจึงได้อาชีพใหม่เป็นคนทำสวนของเทศบาลเมื่อทางราชการมีดำริให้ยกเลิกสามล้อถีบในเขตพระนครไล่ ๆ กับที่รถรางถูกเลิกไปด้วยเหตุที่ว่าพาหนะทั้งสองกีดขวางการจราจร

ช่วงเวลาที่ฉันชอบมากที่สุดคือช่วงที่เรียกว่า “หน้าน้ำ” ตกระหว่างเดือน ตุลาคม ถึง ธันวาคม หรือในบางปีอาจยืดไปจนถึงเดือนมกราคมก็มี หน้าน้ำนี้คือหน้าที่น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาหลากมาจากทางเหนือจนล้นตลิ่งเข้ามาในวังกลายเป็นน้ำท่วมเจิ่งไปหมด น้ำจะขึ้นลงวันละสองครั้งคือในช่วงเช้าและเย็นหรือตอนสาย ๆ และตอนค่ำ เด็กในวัยฉันถือเป็นเรื่องสนุกโดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่ยังว่ายน้ำไม่เป็นเนื่องจากสามารถนอนแช่ในน้ำได้ทั้งตัวแล้วทำท่าวัดวาไปเรื่อย ๆ ไม่ต้องกลัวว่าจะจมเนื่องจากหยั่งถึงพื้น ดูไกล ๆ ก็เหมือนว่าว่ายน้ำเป็นเหมือนกัน การหัดให้เด็กว่ายน้ำในสมัยนั้นก็ทำกันง่าย ๆ ส่วนใหญ่จะใช้วิธีที่ค่อนข้างจะทารุณโดยการแอบผลักเด็กที่เป็นเป้าหมายในการฝึกลงน้ำโดยที่เด็กนั้นไม่ทันรู้ตัว ด้วยสัญชาติญาณการเอาตัวรอดหรืออะไรก็แล้วแต่เด็กจะตะกุยตะกายจนสามารถลอยตัวอยู่เหนือน้ำได้ วิธีนี้เป็นวิธีที่เด็กเรียนรู้การว่ายน้ำได้เร็วที่สุด

อีกวิธีที่นุ่มนวลกว่าวิธีแรกคือการที่ผู้ฝึกตัดต้นกล้วยขนาดลำต้นเท่าขาอ่อนของผู้ตัดนำมาริดก้านและใบออกจนหมดแล้วตัดหัวตัดท้ายให้เหลือเพียงท่อนกลางของลำต้นแล้วนำต้นกล้วยนี้ลงลอยในน้ำ ให้เด็กที่จะฝึกเกาะลอยไปมา หรือจะใช้วิธีลอยต้นกล้วยไว้ในระยะห่างพอประมาณแล้วให้เด็กโผไปเกาะต้นกล้วยก็ได้ ลุงถูกยายสั่งให้ฝึกฉันด้วยวิธีนี้แต่ด้วยเหตุผลกลใดก็ไม่ทราบได้ ฉันจึงยังว่ายน้ำไม่เป็นจนถึงทุกวันนี้ ต่อมาจึงเกิดนวัตกรรมจากภูมิปัญญาพื้นบ้านของคนไทยด้วยการนำเอายางในรถยนต์เก่าที่ใช้งานไม่ได้แล้วมาปะรอยรั่วให้หมด แล้วสูบลมเข้าใจเต็มเพื่อให้ยางลอยน้ำใช้เป็นทุ่นเกาะแทนต้นกล้วยได้เป็นอย่างดีและได้รับความนิยมจนต้นกล้วยหายไปจากลำน้ำอย่างสิ้นเชิงในที่สุด

ต้นกล้วยนั้นถือได้ว่าเป็นต้นไม้สารพัดประโยชน์จริง ๆ นอกจากใช้เป็นเครื่องมือฝึกเด็กว่ายน้ำและยังสามารถนำกาบกล้วยไปลอกเป็นเส้นเล็ก ๆ ตากให้แห้งเรียกว่าเชือกกล้วยใช้ผูกห่อก๋วยเตี๋ยวหรือข้าวผัด ถ้าจะให้ดีต้องพรมน้ำก่อนนำมาใช้ สมัยนั้นไม่มีถุงพลาสติก ก๋วยเตี๋ยวหรือข้าวผัดจะห่อกันด้วยหนังสือพิมพ์เก่ารองก้นด้วยใบตอง (ใบกล้วยนั่นแหล่ะแต่ทำไมคนเรียกว่าใบตองก็ไม่ทราบได้) แล้วเอาเชือกกล้วยผูกเพื่อความแน่นหนาทั้งยังสามารถหิ้วได้ง่ายอีกด้วย เชือกกล้วยนี้ต่อมาก็เสื่อมความนิยมลงเมื่อมีหนังยางสังเคราะห์หรือที่เรียกกันว่าหนังสติ๊กและเชือกกระสอบเข้ามาแทนที่ หากบ้านไหนจัดงานเลี้ยงคนเป็นจำนวนมาก ๆ ถ้วยชามไม่พอใช้ ก็นิยมใช้กระทงซึ่งทำจากใบตองตากแห้งกลัดด้วยไม้กลัดเรียกกันว่าเลี้ยงข้าวกระทง สมัยนี้ไม่มีกระทงใช้แล้วจึงเปลี่ยนไปเรียกว่าเลี้ยงข้าวห่อหรือข้าวกล่องแทน นอกจากนั้น เด็กยังเอาก้านกล้วยมาขี่วิ่งเป็นม้าเรียกว่าม้าก้านกล้วย หรือเอาเชือกกล้วยมาต่อกันยาว ๆ ให้เป็นวงแล้วเด็ก ๆ ก็ลงไม่ยืนในวงเชือกนี้ต่างคนต่างจับเชือกไว้ในระดับเอวแล้ววิ่งไปข้างหน้าร้อง “ปู๊น ๆ” พร้อม ๆ กัน เรียกว่ารถไฟเชือกกล้วย หรือนำก้านกล้วยมาบั้งเป็นบั้ง ๆ ตามความยาว แงะ บั้งนั้นให้เผยอขึ้นแล้วใช้มือรูดเร็ว ๆ บั้งนั้นก็จะปิดลงส่งเสียงดัง “เปาะ ๆ” เหมือนเสียงปืนสนุกกันไปอีกแบบน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยายามนั้นยังใสสะอาดปราศจากมลพิษอย่างสิ้นเชิง คนที่อยู่ริมแม่น้ำจะตักน้ำในแม่น้ำใส่ตุ่มแล้วแกว่งสารส้มทิ้งค้างคืนไว้เพื่อให้ตกตะกอน น้ำนี้จะนำมาใช้ซักผ้า ถูบ้าน หรือใช้ประโยชน์อื่น ๆ ส่วนน้ำกินและน้ำที่นำมาทำกับข้าวนั้นนิยมใช้น้ำฝนซึ่งรองไว้ในตุ่มกินกันได้ทั้งปี หากขาดแคลนจริง ๆ ก็จะใช้น้ำแม่น้ำนั่นแหล่ะแต่จะแกว่งสารส้มและต้มให้เดือดเสียก่อน ฉันไม่เคยเห็นใครใช้ตู้เย็นหรือร่ำรวยขนาดที่มีตู้เย็นใช้ตอนที่เป็นเด็ก นอกจากตามร้านขายอาหารใหญ่ ๆ น้ำดื่มในสมัยนั้นถ้าไม่ใช่น้ำก๊อกหรือน้ำในตุ่มแล้วก็เป็นน้ำเหยาะน้ำยาอุทัยสีชมพูสวยสดใส ใส่ขันใบใหญ่ลอยด้วยน้ำแข็งก้อนเขื่องไว้ บางครั้งก็จะลอยดอกมะลิบานไว้ในขันด้วย ใครกระหายก็ยกขันดื่มเอาเลย เย็นและหอมชื่นใจนักน้ำขวดหรือน้ำอัดลมที่มีขายในสมัยนั้นเป็นอะไรที่เลิศกว่าเด็กในวัยฉันจะถือเป็นอะไรที่ปกติในชีวิตเนื่องจากมีราคาแพงหากจำไม่ผิดน้ำอัดลมมีราคาถึงขวดละหกสลึก ฉันนั้นจะได้ลิ้มรสน้ำอัดลมอย่างเต็มอิ่มก็เฉพาะเมื่อไม่สบายเท่านั้น กล่าวคือทุกครั้งที่ฉันไม่สบายเป็นไข้หวัดหรืออะไรก็แล้วแต่ ยายจะต้องเป็นเดือดเป็นร้อนไปซื้อน้ำซาสี่ของเฟเซอร์แอนด์นิ๊สมาให้ฉันกินเสมอ ยายอ้างว่าน้ำซาสี่เฉพาะที่ไม่แช่เย็นเท่านั้นจะช่วยลดไข้ในเด็กได้ ฉันไม่รู้ว่ายายเอาตำรับยาที่ว่านี้มาแต่ที่ใด แต่ก็ดีใจทุกครั้งที่เป็นไข้และยายมาเยี่ยมด้วยรู้ว่าได้กินซาสี่แน่ ๆ น้ำซาสี่ที่ว่านี้ฉันมารู้เอาตอนโตแล้วว่าคือน้ำอัดลมที่เรียกว่ารูทเบียร์นั่นเอง นอกจากซาสี่ซึ่งไม่เป็นที่นิยมเท่าใดนักในสมัยนั้นแล้วก็มีน้ำอัดลมยี่ห้อดัง ๆ เช่น โคคาโคล่า สมัยนั้นเรียกกันแพร่หลายว่าโคล่า แต่สมัยนี้เรียกโค๊กตามฝรั่งไปหมดแล้ว เป็บซี่ เซเว่นอัฟ และ ไบเล่ย์ เป็นต้น

นอกจากเวลาที่ไม่สบายแล้ว โอกาสที่ฉันจะได้ลิ้มรสน้ำอัดลมก็คือเวลาที่แม่ใช้ให้ไปซื้อเมื่อมีแขกมาเยี่ยมที่บ้าน เจ๊กที่ร้านกาแฟจะเอาน้ำอัดลมใส่ที่หิ้วน้ำอัดลมซึ่งทำจากลวดทองเหลืองสำหรับใส่น้ำอัดลมหิ้วไปตามที่ต่าง ๆ ได้ทีละ 4 ขวด หากนึกภาพที่หิ้วน้ำอัดลมไม่ออกก็ให้นึกถึงพวงเครื่องปรุงก๋วยเตี๋ยวในสมัยนี้ ต่างกันแต่เพียงที่พวงเครื่องปรุงทำด้วยพล้าสติกจึงเทอะทะกว่าเท่านั้น ระหว่างทางจากร้านมาถึงบ้าน ฉันก็จะแอบดูดน้ำอัดลมในพวงซึ่งมีหลอดดูดใส่มาด้วยขวดละหนึ่งหลอด การดูดน้ำอัดลมในขวดเพื่อจะไม่ให้ถูกจับได้จะต้องดูดด้วยความระมัดระวังอย่าดูดมากไปและต้องดูดให้น้ำอัดลมทุกขวดในพวงเหลือระดับน้ำในคอขวดเท่า ๆ กันเสมอ

น้ำแข็งในสมัยนั้นขายกันเป็นก้อน ๆ ละ 1 สลึง จะซื้อกี่ก้อนก็ได้ หากซื้อถึงสี่ก้อนจะเรียกว่า “1 กั๊ก” ร้านขายน้ำแข็งคือห้องแถวธรรมดานี่เองแต่มักจะปูพื้นด้วยไม้ และเก็บน้ำแข็งไว้ใต้แกลบ คนขายจะใช้เลื่อยขนาดใหญ่เลื่อยน้ำแข็งให้เป็นก้อน ๆ เพื่อขายให้กับลูกค้ารายย่อยอีกทีโดยจะใช้เชือกกล้วยผูกก้อนน้ำแข็งเพื่อให้หิ้วได้โดยง่ายไม่เย็นมือ เมื่อจะนำไปใช้ต้องล้างแกลบออกจากน้ำแข็งให้สะอาดเสียก่อน ร้านขายกาแฟจะมีอุปกรณ์สำคัญอีกอย่างหนึ่งสำหรับจัดการกับน้ำแข็งคือลังทุบน้ำแข็ง ต่อด้วยไม้รองก้นลังด้วยสังกะสี พร้อมกับสากไม้อันเขื่องใช้สำหรับทำน้ำแข็งให้เป็นก้อนเล็ก ๆ ในลังนี้มักมีเศษน้ำแข็งเหลือให้พวกเด็ก ๆ วิ่งมาควักกินแก้กระหายกันได้โดยไม่เสียสตางค์ หากเป็นร้านที่เล็กลงมาหน่อยหรือในเรือขายกาแฟ จะใช้ถุงผ้าในการทุบน้ำแข็งแทนลัง ส่วนตามบ้านคนนั้นไม่ใช้ลังทุบน้ำแข็งแต่จะใช้มีดอีโต้เก่า ๆ สับน้ำแข็งให้เป็นก้อนสี่เหลี่ยมขนาดพอเหมาะ ล้างให้สะอาดแล้วใส่กระติกน้ำแข็งที่มีไส้เป็นแก้วอัดปรอดเก็บรักษาความเย็นได้ เมื่อต้องการใช้ก็ใช้คีมคีบน้ำแข็งใส่แก้วหรือขันตามจำนวนที่ต้องการ น้ำแข็งในกระติกนี้เมื่อเก็บไว้สักพักจะเริ่มละลาย น้ำที่ละลายจากน้ำแข็งก้นกระติกนี้เย็นชื่นใจนัก ฉันจึงใช้วิธีรินน้ำก้นกระติกดื่มกินเป็นประจำ นิสัยการกินน้ำเย็นจัดจึงติดเป็นนิสัยประจำตัวฉันมาตั้งแต่เด็กจนแก่ นอกจากน้ำที่ฉันกินจะต้องเป็นน้ำเย็นแล้ว ยังจะต้องมีน้ำแข็งเป็นส่วนประกอบอยู่ด้วยเสมอ

จากคุณ : แมงกะพรุน - [29 เม.ย. 45 16:23:56]

ความคิดเห็นที่ 1
เป็นเรื่องที่น่าสะสม คุณแมงกะพรุนครับ ถ้าจะขอ copy ไปลงในวรสารเล่มเล็กๆแจกให้นักเรียนอ่านภายในโรงเรียนเท่านั้น ไม่ใช่การค้า จะอนุญาตเปล่านี่ ถ้าขัดข้องอย่างไรกรุณาบอกด้วยเพราะรู้อยู่ว่ามันเป็นลิขสิทธ์ทางปัญญา
จากคุณ : GTW - [29 เม.ย. 45 16:44:02]

ความคิดเห็นที่ 2
หากคุณ GTW ต้องการนำเอา "เรื่องของฉัน" ไปพิมพ์เผยแพร่ในวรสารของโรงเรียน ฉันก็คงไม่มีอะไรขัดข้อง นอกจากไม่ขัดข้องแล้วยังรู้สึกดีใจ ที่มีคนจะทำให้ "เรื่องของฉัน" เป็นประโยชน์ต่อยุวชนรุ่นหลัง จนออกจะเขิน ๆ เอาด้วยซ้ำไป เหตุปัจจัยในเรื่องนี้คงต้องย้อนกลับไปดูวัตถุประสงค์ ในการที่ฉันเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาซึ่งได้ให้อรรถาธิบายไว้แล้วในความคิดเห็นที่ 5 ที่ http://pantip.inet.co.th/cafe/writer/topic/W1460357/W1460357.html ซึ่งฉันใคร่ขอให้คุณ GTW ย้อนกลับไปอ่านเสียก่อนหากว่ายังมิได้อ่าน หากอ่านแล้วก็แล้วไป

ฉันมานั่งไตร่ตรองดูว่าเหตุใดเรื่องเกี่ยวกับตัวฉันในวัยเด็กจึงโดนใจ (ภาษาวัยรุ่น หมายถึง "ถูกใจ") คนหลายคนที่เป็นนักอ่านประจำอยู่บนถนนนักเขียนสายนี้ก็ได้คำตอบที่สรุปด้วยตนเองว่าแม้ว่าจะเป็นเรื่องเฉพาะตัวเฉพาะกลุ่มและเป็นอะไรที่มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับผู้อ่านทั้งหลายแต่ฉากหรือบรรยากาศที่ระบุในเรื่องเป็นฉากและบรรยากาศย้อนอดีตที่คนกรุงเทพหรือคนจังหวัดอื่นแต่ได้มาอาศัยอยู่ในกรุงเทพกลุ่มที่มีอายุในปลาย 40 - ต้น 50 ปีล้วนมีความคุ้นเคยเป็นอย่างดี ทำให้เกิดความสุขด้วยความทรงจำส่วนที่แฝงตัวอยู่ในซอกเหลือบของความคิดคำนึงถูกสะกิดปลดปล่อยให้ออกมาโลดแล่นมีชีวิตชีวาร่วมสมัยกันอีกครั้งหนึ่ง ดังที่กล่าวไว้แล้วว่า "เรื่องของฉัน" เป็นเรื่องยาวกะดูคร่าว ๆ น่าจะมีความยาวเกินกว่า 50 ตอนและจนถึงขณะปัจจุบันก็ยังไม่ทราบได้เหมือนกันว่าจะจบลงเช่นใดเพราะบุคคลย่อมไม่ทราบถึงเวลาและสถานการณ์ที่ประกอบกันขึ้นเป็นจุดจบแห่งชีวิตตนแต่เฉพาะในช่วงชีวิตที่ผ่านเลยของฉันได้ผ่านและมีส่วนร่วมในเหตุการณ์อีกมากมายบางช่วงบางตอนอาจจะไม่เหมาะสำหรับเด็กก็เป็นได้ จึงใคร่ขอให้คุณ GTW รออ่านตอนต่อ ๆ ไปสัก 10 -20 ตอนเสียก่อนจึงค่อยตัดสินใจที่จะดำเนินการตามที่แจ้งมา…คงยังไม่สาย

จากคุณ : แมงกะพรุน - [30 เม.ย. 45 05:52:50]

ความคิดเห็นที่ 3
ขอบคุณครับแล้วจะตามไปอ่านดูวัตถุประสงค์ดังกล่าว ยังไม่ได้อ่านเลย เพราะว่าผมเข้ามาอ่านครั้งแรกไม่ใช่ตอนที่ 1 แต่อ่านแล้วชอบมากจนต้องย้อนกลับไปอ่าน ถ้าผมเป็นเจ้าของวารสารหนังสือสักเล่ม เป็นเจ้าของสำนักพิมพ์ ผมจะไม่มีความลังเลแม้สักน้อย ในการนำเรื่องนี้ลงตีพิมพ์ให้นักอ่านได้สัมผัสกับเรื่องที่มีคุณค่าแบบนี้ ส่วนตัวผมชอบ"เรื่องของฉัน" ไม่น้อยกว่าเรื่อง "อยู่กับก๋ง" ของหยก บูรพา เลย ขอบคุณอีกครั้งครับ กับการพิมพ์ผลงานดีๆแบบนี้ให้อ่าน และอ่านอย่างสนุกมีความสุขตามประสานักอ่านที่ชื่นชอบการอ่านและกำลังรอตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ
^_^
จากคุณ : GTW - [30 เม.ย. 45 17:01:08]

ความคิดเห็นที่ 4
ไปอ่านแล้วครับ "เรื่องของฉัน" เป็นเรื่องเรียงความที่เขียนขึ้นมาจากความทรงจำเกี่ยวกับประสบการณ์ของชายคนหนึ่งซึ่งเกิดและมีชีวิตอยู่ในช่วงปี 2493 จนถึงปีปัจจุบัน ขณะที่เขียนถูกโรคร้ายรุมเร้าถึงขั้นที่คาดกันว่าจะเสียชีวิตในเวลาอันสั้น " ประโยคนี้ทำให้ผมตกใจมากภาวนาขอให้ "ชายคนหนึ่ง" อย่าเป็นคุณแมงกะพรุนอย่าเป็นใครที่มีตัวตนจริงๆเลยภาวนาขอให้มันเป็นเพียงส่วนหนึ่งของนิยายเท่านั้นใช่ไหมครับ
จากคุณ : GTW - [30 เม.ย. 45 17:10:13]

ความคิดเห็นที่ 5
ตามอ่านเรื่องของคุณแมงกะพรุนอยู่ทุกตอนด้วยความชื่นชมนะคะ ขอบคุณมากที่พิมพ์ให้พวกเราชาวถนนฯ ได้อ่านกันค่ะ
จากคุณ : njl - [30 เม.ย. 45 20:55:46]

ความคิดเห็นที่ 6
คุณแมงกะพรุนครับ ผมอ่านทุกอย่างที่คุณบอกแล้ว ไม่สบายใจเลย ถ้าพอมีเวลาอยากคุยเป็นการส่วนตัวครับ
h_uriah@hotmail.com ครับ
จาก
เพื่อนของคุณ
จากคุณ : GTW - [30 เม.ย. 45 22:26:03]

ความคิดเห็นที่ 7

วันก่อนคุณ โอ้โฮ ได้แนะนำกระทู้ให้อ่าน ตั้งใจว่าจะไปตามเก็บอ่านตั้งแต่ตอนแรก แต่พอเห็นข้อความที่คุณ GTW มาโพสต์ในความเห็นที่ ๔ แล้วก็ค่อนข้างตกใจเหมือนกันค่ะ และขอภาวนาเช่นเดียวกับคุณ GTW เช่นกันค่ะ
จากคุณ : มะวัน - [วันแรงงาน 12:13:50]

ความคิดเห็นที่ 8
รู้สึกอบอุ่นและตื้นตันใจ ในความปรารถนาดีของทุกท่าน ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยรู้จักเห็นหน้าค่าตากันมาก่อนแต่ก็รู้ได้จากตัวหนังสือที่ท่านได้เรียงร้อยรู้ได้ด้วยใจจึงขอขอบคุณและน้อมรับในไมตรีจิตจากทุกท่านด้วยใจ…เช่นกัน ที่ตกใจและเสียใจคือการที่ทำให้ท่านทั้งหลายต้องหดหู่แม้จะรู้และเข้าใจว่าสัจจะธรรมแห่งชีวิตอาจนำมาซึ่งความหดหู่โศกเศร้าเสียใจก็ตามที ความรักเป็นทุกข์ การยึดมั่นถือมั่น เป็นทุกข์การพลัดพรากจากรัก จากสิ่งที่คุ้นเคย เป็นทุกข์ ภวตัณหา เป็นทุกข์ วิภวตัณหา เป็นทุกข์ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
ด้วยความนับถือและปรารถนาดี
จากคุณ : แมงกะพรุน - [2 พ.ค. 45 05:39:45]

ความคิดเห็นที่ 9
อ่านเกี่ยวกับ"รายละเอียดนั้น"แล้วไม่อยากเชื่อสายตาค่ะ จนมีการยืนยันอีก อยากเห็นเป็นหนังสือไม่ได้อยู่ไทย แต่เผื่อว่าจะมีส่วนทำอะไรได้บ้าง กรุณาติดต่อ babydoc@fastmail.ca จะเป็นพระคุณค่ะ
ด้วยความชื่นชมมากยิ่ง
จากคุณ : ปราณ - [13 พ.ค. 45 07:24:25]

ไม่มีความคิดเห็น: