วันอังคาร, กรกฎาคม 22, 2551

เรื่องของฉัน ตอนที่ 6


ตอนที่ 6
นอกจากทำงานเป็นกัมปะโดกับญี่ปุ่นแล้ว ป๋ายังมีงานอดิเรกอีกอย่างหนึ่งคือการเลี้ยงไก่ บ้านที่ฉันอยู่ในวัยเด็กนั้นเป็นบ้านใต้ถุนสูงพื้นปูด้วยอิฐแผ่นใหญ่ ๆ ที่ผ่านการใช้งานมานานจนเรียบลื่นเป็นเงา ป๋าจ้างเขาเอาลวดตาข่ายมาขึงกั้นไว้ครึ่งหนึ่งของพื้นที่แล้วซื้อลูกไก่มาปล่อยไว้ประมาณ 20-30 ตัว นอกจากนั้นยังมีไก่แม่พันธ์ที่เลี้ยงแยกไว้ในกรงตับอีกประมาณ 20 ตัว รวมแล้วจึงมีไก่อยู่ใต้ถุนบ้านประมาณ 50 ตัว บริเวณที่กั้นเป็นกรงนั้นโรยทับพื้นหินด้วยแกลบ แกลบนี้เมื่อผสมทับถมกับขี้ไก่จะมีกลิ่นเฉพาะตัว พอทิ้งระยะสัก 3-4 เดือนขี้ไก่กับขี้แกลบจะผสมกันเป็นแผ่นหนาประมาณ 3-4 นิ้วก็จะได้เวลาโกยขี้ไก่ไปทิ้งเสียทีหนึ่งแล้วนำแกลบใหม่มาโรย สำหรับเด็กสมัยใหม่อาจจะสงสัยว่าแกลบที่ว่าคืออะไร ก็ขอบันทึกไว้เพื่อเป็นความรู้ว่าแกลบก็คือเปลือกของข้าวนั่นเอง ทั้งเปลือกของข้าวเจ้าหรือข้าวเหนียวล้วนเรียกว่าแกลบทั้งสิ้น ป๋าดั้นด้นไปสั่งแกลบมาโรยกรงไก่จากโรงสีแถวสี่พระยา ส่วนไข่ที่ได้นั้นนอกจากทำกินกันในบ้านแล้วฉันจำไม่ได้เสียแล้วว่าป๋านำส่วนที่เหลือไปขายที่ไหน จำได้แต่ว่าเวลาที่ฉันอยากกินขนมหรือซื้อของเล่นจะแอบหยิบเอาไข่ที่ไก่ไข่ไว้เรี่ยราดตามพื้นไปขายให้เฮียตุ๋ยลูกชายคนโตของยายจิ้นที่ละฟองสองฟองเสมอ ในทัศนะของฉันนั้น เฮียตุ๋ยเป็นคนหนุ่มอารมณ์ดีและออกจะเมตตาฉันเป็นกรณีพิเศษ โดยจะให้เงินค่าไข่ฉันทีละห้าสิบสตางค์หรือหากมีเงินมากก็จะให้ฉันคราวละหนึ่งบาทเลยทีเดียว

ป๋าเลิกเลี้ยงไก่โดยสิ้นเชิงเมื่อเกิดไฟไหม้ตลาดแล้วไฟลามมาจนถึงบ้าน คนในบ้านพากันขนข้าวของหนีไฟกันเป็นที่โกลาหล แต่ด้วยความตกใจจึงพากันลืมไก่เสียสิ้น เมื่อไฟดับกลับเข้าบ้านจึงพบว่านอกจากบ้านชั้นบนโดนไฟไหม้ไปบางส่วนแล้ว ไก่ที่ป๋าเลี้ยงไว้ใต้ถุนบ้านทนความร้อนไม่ไหวตามเสียเกือบหมดเล้า
ตอนที่ฉันเป็นเด็กนั้นจำได้ว่าเกิดไฟไหม้หลายครั้ง ด้วยความที่เป็นเด็กจึงไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดไฟจึงไหม้ได้ยินเพียงพวกผู้ใหญ่กระซิบกระซาบกันว่า "เผาไล่ที่กันอีกแล้ว" แต่ที่น่าแปลกคือศาลเจ้าพ่อเสือซึ่งไม่เพียงแต่คนละแวกวัดมหรรณ์เท่านั้นที่เคารพบูชา คนต่างถิ่นอีกเป็นจำนวนมากที่ต้องแวะเวียนมาเคารพกราบไหว้เจ้าพ่อเสืออยู่เป็นประจำ ทุกครั้งที่ไฟไหม้ ศาลเจ้าพ่อเสือจะไม่เคยถูกไฟไหม้เลย มีอยู่ครั้งหนึ่งฉันจำได้ติดตา ไฟไหม้ตลาดและห้องแถวรอบ ๆ ตลาดเสียเกลี้ยง จากชุมชนที่หลังคาเกยกันแบบที่เรียกว่าไก่บินไม่มีตกถึงพื้น กลายเป็นที่โล่งเวิ้งว้างไปในชั่วเวลาไม่กี่ชั่วโมง แต่ตรงด้านหน้ากึ่งกลางที่ว่างเวิ้งว้างนั้น ศาลเจ้าพ่อเสือ ยังคงตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ที่เดิม ไม่มีแม้แต่ริ้วรอยของความบุบสลายแม้แต่น้อย

ในช่วงปี พ.ศ. 2500 หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่ายุคกึ่งพุทธกาล ในกรุงเทพมหานครในปัจจุบันหรือที่สมัยนั้นเรียกกันว่า "พระนคร" เกิดมีไฟไหม้ตามที่ต่าง ๆ อยู่เป็นประจำ ต่อมาท่านนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นทหารยศจอมพลได้กำหนดเป็นนโยบายว่า หากเกิดไฟไหม้ขึ้น ที่ใดก็ตามที่พนักงานสอบสวนระบุว่าเป็นบ้านต้นเพลิง เจ้าของบ้านนั้นจะต้องโทษประหารชีวิตด้วยการยิงเป้า จำได้ว่ามีการยิงเป้าเจ้าของบ้านต้นเพลิงไปหลายราย เสียงเล่ากันว่าลากออกมายิงกันที่หน้าบ้านที่ไฟไหม้อยู่นั่นเอง หลังจากนั้น ไฟในพระนครก็ค่อย ๆ ไหม้น้อยลงเป็นลำดับ

ดังที่เกริ่นไว้แต่ต้นว่าแม่ไม่ค่อยจะชื่นชมฉันเท่าใดนักในวัยเด็ก ดังนั้น นอกจากป๋าซึ่งแม่ชอบใช้เป็นที่ระบายอารมณ์แล้วก็มีฉันซึ่งมักถูกแม่ตีเอาบ่อย ๆ เมื่อแม่อารมณ์ไม่ดีเนื่องจากเสียไพ่ก็ดี เหน็ดเหนื่อยจากภาระกิจประจำวันก็ดี หรือเมื่อฉันเล่นซนมาก ๆ ก็ดี เครื่องมือที่ใช้ในการตีส่วนใหญ่เป็นวัสดุที่ใกล้มือที่แม่จะหยิบฉวยเอาได้ใกล้มือเช่น ไม้ขัดหม้อข้าว ฝาหม้อ ขันน้ำ หรือมือเปล่า ๆ ถ้าหากหาเครื่องมือไม่ได้จริง ๆ ฉันจำไม่ได้แน่นอนว่าเริ่มถูกแม่ตีตั้งแต่เมื่อใด จำได้แต่เพียงว่าฉันถูกแม่ตีเอาบ่อยมาก เมื่อฉันถูกตีชาวบ้านแถวนั้นจะสบตากันแล้วกระซิบกระซาบว่านายโป๋โดนตีอีกแล้วเนื่องจากเสียงร้องของฉันผสมกับเสียงด่าของแม่ดังไปทั่วละแวกบ้าน ทุกครั้งที่ถูกตีฉันจะร้องไห้เสียงดังมาก แม้ว่าแม่จะเลิกตีแล้วก็ตามแต่ฉันก็จะร้องไปจนหมดแรงจนเสียงร้องไห้นั้นค่อยลงเป็นลำดับจนในที่สุดก็เหลือแต่เพียงเสียงสะอึกสะอื้นไปอีกนานจนม่อยหลับไปทั้งน้ำตาในที่สุด เมื่อตื่นขึ้นมักจะพบว่าแม่ทำกับข้าวหรือซื้อขนมที่ฉันชอบเช่นขนมขี้หนูไว้รอถ้าเสมอเข้าทำนองตบหัวแล้วลูบหลังนั่นเอง

สถานที่แห่งที่ป๋ามักพาฉันไปในตอนเย็นวันอาทิตย์คือ “เขาดิน” สำหรับคนที่ไม่รู้จัก เขาดิน คือสวนสัตว์แห่งเดียวในพระนครที่มีมานมนานและยังอยู่ยั่งยืนมาจนถึงทุกวันนี้ มีชื่อเรียกเป็นทางการว่า “เขาดินวนา” ในความเห็นของฉันเมื่อผู้ใหญ่พาฉันไปเที่ยวเขาดินเป็นครั้งแรกนั้น ทุกอย่างที่ประกอบกันขึ้นเป็นเขาดินก็ดูเก่าเสียแล้ว นอกจากสัตว์นานาชนิดซึ่งเป็นที่ชื่นชอบสำหรับเด็กผู้ชายในวัยอย่างฉันเช่น เสือโคร่ง เสือดำ เสือดาว สิงโตบก สิงโตทะเล ฮิปโปโปเตมัส ยีราฟ และ ม้าลายแล้ว เขาดินยังมีของเล่นประเภทที่ต้องจ่ายสตางค์เพิ่มจากค่าผ่านประตูเพื่อเล่นที่น่าสนใจอีกมากมายเช่น ม้าหมุน ชิงช้าสวรรค์ เรือบินหมุนที่ทำเป็นเรือบินจำลองแขวนไว้เหนือพื้นด้วยลวดสลิงหมุนไปรอบ ๆ เสาซึ่งเป็นแกนเป็นวงกลม เรือกรรเชียง และที่ประทับใจฉันมากที่สุดคือ เรือถีบ เรือถีบที่ว่านี้ไม่ต้องพาย ตัวเรือทาสีขาวมีเก้าอี้สองตัววางเคียงกันไว้บนทุ่นที่เรียวแหลมสองทุ่น มีร่มกันแดด ใต้ที่นั่งทั้งสองข้างมีขาสำหรับให้คนนั่งถีบไปเหมือนกับการถีบจักรยานซึ่งต่อไปหมุนแกนกลม ๆ มีใบวิดน้ำส่งให้เรือวิ่งไปได้ ข้าง ๆ ที่นั่งด้านขวามือจะมีคันบังคับหางเสือให้เรือวิ่งไปในทิศทางที่ต้องการได้ น่าประทับใจเด็ก ๆ อย่างฉันยิ่งนัก

ฉันจำไม่ได้เสียแล้วว่าค่าเช่าเรือกรรเชียง หรือ เรือถีบเป็นเท่าใด แต่คิดว่าคงแพงเพราะป๋าไม่เคยยอมเช่าเรือให้ฉันได้พายหรือถีบจริง ๆ เลย อย่างมากคือยอมให้ฉันลงไปนั่งเล่นในเรือที่เขาผูกไว้รอให้คนมาเช่าเท่านั้นเอง จำได้ว่าในตอนเย็นวันอาทิตย์ จะมีวงดนตรีแจ้สซึ่งมีนักดนตรี 3 ถึง 4 คนมาเล่นให้คนฟังโดยไม่เสียเงิน บริเวณหน้าเวทีดนตรีดังกล่าวจึงมันจะเป็นที่ซึ่งป๋าพาฉันไปนั่งฟังเพลงจนมืดค่ำเสมอ ๆ

ที่ฉันคิดว่าน่าแปลกเรื่องไปเที่ยวเขาดินกับป๋าก็คือแม่จะไม่ไปด้วยเลย ต่อมาฉันจึงเข้าใจว่าเขาดินนี้ถือได้ว่าเป็นแหล่งหลบภัยของทั้งป๋าและตัวฉันเองคือเมื่อป๋ามีเรื่องทะเลาะกับแม่ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องที่แม่ขอเงินแล้วป๋าไม่ให้หรือเมื่อฉันถูกแม่ตีหรือมีแนวโน้มว่าจะถูกแม่ตีในไม่ช้า ป๋ามักจะพาฉันไปหลบที่เขาดินเสมอถ้าเป็นวันหยุด ถ้าเป็นช่วงหยุดเทอมหากฉันถูกแม่ตีบ่อย ๆ เข้าป๋ามักจะพาฉันไปฝากไว้กับยายหรือน้าแดงแทนเพื่อให้พ้นภัยจากแม่ ส่วนในช่วงอื่น ๆ ที่มิใช่ช่วงวันหยุดหรือช่วงปิดเทอมนั้น ฉันต้องวัดดวงเอาเองว่าจะถูกแม่ตีหรือไม่

เท่าที่จำได้มีเหตุที่ฉันถูกแม่ตีอย่าง “มีเหตุผลสมควร” อยู่สองครั้ง ครั้งแรกคือมีอยู่วันหนึ่งซึ่งแม่ตำน้ำพริกกะปิแล้วพบว่าขาดมะนาวจึงใช้ให้ฉันวิ่งไปตลาดเพื่อซื้อมะนาวเมื่อฉันไปถึงแผงขายผักในตลาดนั้นมีคนแย่งกันซื้อผักอยู่มากมายด้วยความมักง่ายและวัยเด็กจึงฉวยเอามะนาวมาสามลูกโดยแม่ค้าไม่ทันเห็นแล้ววิ่งกลับบ้านเอามะนาวให้แม่พร้อมกับคืนสตางค์ให้ด้วยความลิงโลดที่สามารถนำมะนาวกลับมาได้โดยไม่เสียสตางค์ ผลคือโดนแม่ตีเสียเกือบตาย อีกครั้งหนึ่งคือเมื่อฉันริอ่านหนีโรงเรียนเนื่องจากทำการบ้านเลขที่ครูดุนักไม่ได้ โดยหนีไปแอบอยู่ในวัดมหรรณ์ พอเริ่มสายก็ชะล่าใจออกมาวิ่งเล่นอยู่นอกวัด ปรากฏว่าเพื่อซี้ของแม่ชื่อ “จิ้น” มาเห็นเข้าแล้วรีบนำความไปบอกแม่ ฉันถึงกับเข่าอ่อนเมื่อเห็นยายจิ้นจูงมือแม่ที่ถือไม้ขัดหม้อข้าวมายืนชี้โบ้ชี้เบ้อยู่ตรงข้ามถนน ผลคือถูกแม่ตีเสียลายไปทั้งตัว นับจากนั้น ฉันก็ “เข็ดจนตาย” ไม่เคยขโมยของ (ยกเว้นไข่ไก่) หรือหนีโรงเรียนอีกเลยในวัยเด็ก

พูดถึง “อาจิ้น” ซึ่งเป็นเพื่อนที่แม่สนิทด้วยอาจจะเรียกว่ามากที่สุดในวัยสาวแล้วฉันยังจำภาพหญิงจีนวันกลางคนที่ชอบใส่กางเกงสีดำและเสื้อขาวได้ติดตา แม่จะเรียกยายจิ้นว่า จิ้นเฉย ๆ บ้าน อาจิ้นบ้าง หรือ อีจิ้น บ้าง แล้วแต่อารมณ์ คำว่า “อา” ในกรณีนี้ไม่ได้หมายความถึงน้องของพ่อ แต่เป็นคำที่ใส่หน้าชื่อคนจีนเพื่อเรียกอย่างคนที่สนิทสนมกัน อาจิ้นมีลูก 4 คน คนโตที่สุดจำได้ว่าเป็นชายชื่อเฮียตุ๋ยคนที่ชอบซื้อไข่ไก่จากฉันนั่นแหล่ะ ส่วนผู้หญิงที่วัยไล่เรี่ยกับฉันและเป็นเพื่อนวิ่งเล่นแกล้งกันไปแหย่กันมาในวัยเด็กนั้นก็มี อาโม๊ย ติ๊ดตี่ และ ตุ๊กตา

ติ๊ดตี่ กับ ตุ๊กตานั้นหายไปจากชีวิตฉันไม่ได้เจอกันอีกเลยนับจากที่ฉันย้ายจากบ้านวัดมหรรณ์มาอยู่บ้านเช่าทางฝั่งธนฯ ส่วน อาโม๊ยซึ่งได้งานทำเป็นพนักงานธนาคารออมสินนั้นยังเจอกันบ้างส่วนใหญ่เป็นการเจอกันในงานศพคนเก่าคนแก่ สอบถามแล้วได้ความว่าติ๊ดตี่กับตุ๊กตาแต่งงานแล้วมีลูกคนละหลายคน อาจิ้นผู้นี้นี่เองที่เป็นผู้สอนวิชาต่าง ๆ เกี่ยวกับคนจีนให้กับแม่หลายอย่าง ตั้งแต่การทำกับข้าวไปจนถึงการพับกระดาษเงินกระดาษทองเพื่อใช้ในการไหว้เจ้าในเทศกาลตรุษจีนซึ่งป๋าจะให้เงินแม่ไปซื้อเป็ดซื้อไก่มาไหว้เจ้าและไหว้บรรพบุรุษเป็นประจำทุกปี จนเมื่อป๋าเริ่มเจ็บกระเสาะกระแสะและเงินทองที่เก็บหอมรอมริบไว้เริ่มจะร่อยหรอลง จึงเลิกราไปในที่สุด

ฉันในฐานะที่เป็นลูกชายคนโตได้ริเริ่มที่จะประกอบพิธีไหว้เจ้าและไหว้บรรพบุรุษอีกครั้งโดยศึกษาวิธีการจากตำราอย่างละเอียดและตั้งใจไว้ว่าจะทำไปทุกปีจนกว่าจะไม่มีกำลังทำ การไหว้เจ้าและบรรพบุรุษที่ทำเป็นครั้งแรกในวันไหว้ก่อนวันตรุษจีนปี 2545 หลังจากป๋าตายไปแล้วเกือบปี ถือเป็นการร่วมญาติทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่และเสียชีวิตไปแล้วครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต มีคนเป็นมาร่วมงานถึง 6 คนไม่นับฉันและครอบครัว และมีคนตายได้รับเชิญมารับของเซ่นไหว้ตามบัญชีรายชื่อรวมแล้วถึง 17 คน

ฉันใช้นามสกุล "แซ่หว่อง" ตามป๋ามาจนอายุย่าง 11-12 ขวบ ป๋าก็ทำตามสมัยนิยมของคนจีนในเมืองไทยในยุคนั้นซึ่งต้องเปลี่ยนจากการใช้ "แซ่" มาเป็นนามสกุลไทย เสียงว่าเพื่อให้สอดคล้องกลมกลืนกันการอยู่ร่วมกับคนไทย แม้ว่าการแบ่งแยกชาติวรรณะในเมืองไทยจะไม่มีปัญหาเด่นชัดเหมือนในประเทศเพื่อนบ้านอื่น ๆ แต่คนที่เป็นลูกจีนเกิดในเมืองไทยหรือที่แต้จิ๋วเรียกว่า "ตึ้ง นั่ง เกี๊ยะ" มักจะรู้สึกว่าเป็นปมด้อยทุกครั้งที่มีการขานชื่อแซ่ ป๋าลงทุนไปขอให้พระอาจารย์ที่เคารพนับถือตั้งนามสกุลไทยให้หลายสิบนามสกุลแล้วใช้วิธีคัดตัดเลือกจนในที่สุดก็เลือกได้นามสกุล "วงศ์กำจรสุวรรณสกุลชัย" ซึ่งถือได้ว่าเป็นนามสกุลที่ไม่สั้นไม่ยาวจนเกินไปนักแถมยังสื่อความหมายได้ดีเนื่องจากยังคนคำเลียนเสียงคำว่า "หว่อง" เป็น "วงศ์" ไว้ได้อย่างแนบเนียนไม่ตกหล่น เนื่องจากกฎหมายไทยว่าด้วยชื่อสกุลยังไม่อนุญาตให้มีนามสกุลซ้ำกันและเจ้าหน้าที่อำเภอก็ไม่มีเครื่องมือใดที่ทันสมัยพอที่จะตรวจสอบว่านามสกุลใหม่ที่มีผู้ขอยื่นจดทะเบียนจะซ้ำกับนามสกุลใดที่มีอยู่เดิมหรือไม่เลยต้องใช้วิธีที่ฉันได้ยินพวกผู้ใหญ่เขาพูดกันไม่ยืนยันว่าจริงหรือเท็จ คือการใช้เครื่องพิมพ์ดีดพิมพ์นามสกุลที่มีผู้ขอจดทะเบียนใหม่ลงบนกระดาษแล้วใช้ไม้บรรทัดวัดความยาว หากพิมพ์ออกมาแล้วมีความยาวไม่ถึง 3 เซนติเมตร ถือว่าไม่ผ่าน ด้วยเหตุนี้ นามสกุลคนจีนในเมืองไทยจึงยาวมากจนตั้งเป็นข้อสังเกตกันได้ว่า พวกที่มีนามสกุลยาว ๆ และประกอบด้วยคำที่ออกเสียงแปลก ๆ มักเป็นนามสกุลใหม่ที่ตั้งขึ้นใช้แทนแซ่ทั้งสิ้น
จากคุณ : แมงกะพรุน - [27 เม.ย. 45 05:25:13]

ความคิดเห็นที่ 1
เรื่องโปรดมาอีกแล้ว..สนุก ได้บรรยากาศ จัดหน้า ย่อหน้าสวยงาม และรออ่านตอนที่ 6 อยู่นะครับ
จากคุณ : GTW - [27 เม.ย. 45 08:21:08]

ความคิดเห็นที่ 2
จะอ่านตอนที่ 1 - 5 ได้อย่างไรครับ อ้อ เจอแล้วครับ อยู่ล่างๆ นั่นเอง แต่ตอนที่ 2 นี่ซิ หาเท่าไรๆ ก็ไม่เจอ อยู่ตรงไหนครับ หรือว่าคุณแมงกะพรุนเขียนข้ามไป 1 ตอน
จากคุณ : มูโจ้ - [29 เม.ย. 45 11:54:52]

ความคิดเห็นที่ 3
ตามมาอ่านต่อ ชอบมากค่ะ เหมือนได้รำลึกถึงสิ่งที่เคยผ่านมานานแล้ว รออ่านต่อนะคะ ทำลิงก์ให้ค่ะ
http://pantip.inet.co.th/cafe/writer/topic/W1456012/W1456012.html
จากคุณ : O-HO - [29 เม.ย. 45 15:52:35]

ความคิดเห็นที่ 4
ขอบคุณครับ คุณ O-HO สำหรับ link สะดวกมากครับ
จากคุณ : มูโจ้ - [29 เม.ย. 45 16:04:14]

ความคิดเห็นที่ 5
คุณมูโจ้เป็นนักอ่านรายแรกที่สังเกตเห็นและทักท้วงว่า "เรื่องของฉัน" นั้นข้ามตอนที่สองไป บางทีอาจเป็นเพราะนักอ่านรายอื่น ๆ ได้อ่านกันอย่างต่อเนื่องจึงไม่พบความผิดปกติ แต่รายของคุณมูโจ้นั้นเป็นการมาอ่านตอนสุดท้าย ก่อนแล้วจึงย้อนกลับไปอ่านตอนต้นจึงพบข้อเท็จจริงที่ว่ามานั้นโดยง่าย

ตอนสองที่ข้ามไปนั้น ข้ามไปด้วยความจงใจ เนื่องจากความในตอนสองเป็นบันทึกที่เกี่ยวกับสายตระกูลของผู้เขียน ทั้งสายของป๋าซึ่งไม่ยุ่งยากมากนักเพราะเป็นสายที่สั้น ไม่มีข้อมูลให้สืบค้นย้อนกลับไปได้มากมายนัก ส่วนสายตระกูลของแม่นั้นค่อนข้างซับซ้อนเพราะมีทั้งสายของยายและสายของตา ทั้งสองสายเป็นตระกูลซึ่งถ้าเอ่ยออกไปแล้วต้องมีคนร้อง "อ๋อ" ผู้เขียนยังไม่อยากให้เกิดการ "นับญาติ" กันให้วุ่นวายไป จึงขออนุญาตท่านที่กรุณาติดตามอ่านเรื่องนี้ ขอละตอนที่สองไว้ก่อนจนกว่าโอกาสที่ตั้งใจไว้ว่าจะนำ "เรื่องของฉัน" ฉบับสมบูรณ์ออกเผยแพร่ จะมาถึง

ที่จริงแล้ว "เรื่องของฉัน" เป็นเรื่องเรียงความที่เขียนขึ้นมาจากความทรงจำเกี่ยวกับประสบการณ์ของชายคนหนึ่งซึ่งเกิดและมีชีวิตอยู่ในช่วงปี 2493 จนถึงปีปัจจุบัน ขณะที่เขียนถูกโรคร้ายรุมเร้าถึงขั้นที่คาดกันว่าจะเสียชีวิตในเวลาอันสั้น วัตถุประสงค์ที่เขียนเรื่องนี้ขึ้นก็เพื่อบันทึกเหตุการณ์รวมตลอดไปจนถึงบรรยากาศของผู้คนและกิจกรรมในช่วงเวลาดังกล่าวโดยได้สั่งเสียไว้ให้ญาติพี่น้องพิมพ์เป็นหนังสือเพื่อใช้แจกในงานศพของผู้เขียนเองเพื่อให้คนรุ่นหลังได้อ่านเพื่อความบันเทิงและการศึกษาเรื่องราวในอดีตรวมตลอดไปจนถึงสภาพแวดล้อม ค่านิยม และแนวคิดของคนไทยรุ่นหนึ่ง โดยที่มิได้มีความประสงค์จะก่อให้เกิดความเสียหายหรือเสื่อมเสียต่อบุคคลหนึ่งบุคคลใดที่เกี่ยวข้อง

แม้ว่าผู้เขียนจะได้พยายามที่จะถอดจิตวิญญาณของความเป็นตัวตนออกแล้วมองย้อนกลับไปในอดีตด้วยจิตใจความรู้สึกนึกคิดที่นิ่งสงบและเป็นกลางอย่างที่สุด แต่ด้วยความที่ผู้เขียนยังเป็นเพียงปัจเจกบุคคลซึ่งยังไม่สามารถสลัดตัวออกจากการครอบงำของอัตตาแห่งความยึดมั่นในสิ่งมารยาที่ลวงว่าอันนี้สิ่งนั้นเป็นตัวกุ อันนี้สิ่งนั้นเป็นของกุ มุมมองต่าง ๆ จึงอาจผิดเพี้ยนไปบ้าง หากอ่านหรือมองจากมุมมองของผู้อื่น จึงใคร่ขอถือโอกาสนี้ ทำความเข้าใจกันไว้ชั้นหนึ่งก่อน จะได้ไม่มาโกรธกันในภายหลัง

"เรื่องของฉัน" ที่ได้ทยอยนำมาลงเผยแพร่ไว้ในห้องสมุด ณ ร้านกาแฟแห่งนี้ ยังเป็นเพียงตอนต้น ๆ ซึ่งเกี่ยวกับชีวิตในวัยเด็กของผู้เขียน อย่างที่มีคนให้นิยามหนังชีวิตไว้ว่าเป็นเรื่องยาว เรื่องของฉันนี้ก็เช่นกัน เป็นเรื่องยาว ท่านผู้ที่ติดตามอ่านมาตลอดโปรดอย่าใจร้อน ขณะนี้เขียนไว้ได้ทั้งสิ้น 24 ตอนแล้ว เพิ่งจะนำลงไปได้เพียง 6 ตอน ตอนที่ 24 เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงปี 2516 ซึ่งผู้เขียนเพิ่งเริ่มทำงานได้เพียง 3 ปี เพิ่งจะได้พบเนื้อคู่ และกำลังจะแต่งงาน

ขอขอบพระคุณนักท่านทุกท่านที่กรุณาติดตามอ่านเรื่องของฉันมาโดยตลอด และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านทั้งหลายคงจะได้อรรถรสจากการติดตามอ่านเรื่องนี้บ้าง ไม่มากก็น้อย
จากคุณ : แมงกะพรุน - [29 เม.ย. 45 16:07:08]

ไม่มีความคิดเห็น: