ตอนที่ 17
ชีวิตในรั้วโรงเรียน KCC เป็นอะไรที่เรียบง่ายในภาพรวมอยู่เช่นเดิม ผลการเรียนของฉันก็ยังคงเสมอต้นเสมอปลาย คือไม่ดีไม่เลว พอปะทะประทังประคองตัวไปได้เท่านั้น สิ่งที่ฉันเคยเห็นว่าแปลก แต่เมื่อมาเรียนที่ KCC กลับกลายเป็นเรื่องปกติไปคือการที่โรงเรียนสั่งสอนให้นักเรียนเรียกครูผู้ชายว่า “มัสเซอร์” และเรียกครูผู้หญิงว่า “มิส” เหมือนกันกับที่โรงเรียนลาซาลการเรียนหลักสูตรพาณิชย์ที่ KCC กำหนดให้นักเรียนต้องใช้หนังสือเรียนเป็นหนังสือภาษาอังกฤษ เกือบทั้งหมดเป็นหนังสือเก่าที่ซื้อต่อกันมาจากรุ่นพี่อีกทีหนึ่งเป็นธรรมเนียมปฏิบัติเพื่อประหยัดเงินของพ่อแม่ จะมีก็แต่เพียงนักเรียนปีหนึ่งบางส่วนที่เข้ามาใหม่ที่ตื่นตูมไปซื้อหนังสือใหม่ ส่วนนักเรียนปี 1 ที่สอบไล่ได้ขึ้นปีสองก็จะหาน้องใหม่มาซื้อหนังสือเก่าของตัวและติดต่อขอซื้อหนังสือปีสองจากรุ่นพี่ที่ขึ้นปีสาม ไล่กันไปอย่างนี้ ที่ต้องซื้อคือสมุดจดงานและหนังสือบางเล่มที่หาซื้อต่อไม่ได้เท่านั้น
ความที่ฉันชอบภาษาอังกฤษเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงทุ่มเทความสนใจทั้งหมดให้กับมัน ไม่ว่าจะเป็นการอ่านการแปลตำราเรียนก็ดี หรือการจดเนื้อเพลงมาแปลก็ดี หรือตั้งกลุ่มพูดภาษาอังกฤษตามคำชักชวนของโรงเรียนก็ดี กลุ่มพูดภาษาอังกฤษมีสัญญากันว่าสมาชิกจะต้องพูดภาษาอังกฤษกันตลอดเวลาที่อยู่ในรั้วโรงเรียน ผิดหรือถูกไม่สำคัญ ขอให้อีกฝ่ายเข้าใจเป็นใช้ได้ ใครก็ตามที่เป็นสมาชิกแล้วหลุดพูดภาษาไทยออกมาจะต้องถูกปรับคำละหนึ่งบาทเป็นเงินเข้ากองกลางเอาไว้ซื้อขนมกินกันในภายหลัง วัตถุประสงค์ที่โรงเรียนชักนำให้นักเรียนตั้งกลุ่มหรือเข้ากลุ่มพูดภาษาอังกฤษก็เพื่อให้เกิดความคุ้นเคยเพราะถ้าจะพูดไปแล้วเด็กไทยเก่งแต่เรื่องไวยากรณ์ นอกจากนั้นแล้ว ความสามารถในการอ่านหรือความเข้าใจภาษาอังกฤษเป็นเลิศไม่เป็นรองใคร แต่จุดอ่อนจริง ๆ กลับอยู่ที่การสนทนาหรือพูดภาษาอังกฤษเพราะขาดโอกาสที่จะฝึกฝนนั่นเอง
กลุ่มของฉันเป็นกลุ่มนอกสังกัดที่แอนตี้ไม่ยอมไปเข้ากลุ่มของชมรมภาษาอังกฤษที่ตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ จึงไม่มีโอกาสได้ขึ้นโต้วาทีเป็นภาษาอังกฤษบนเวที จำได้ว่าตอนที่เรียนอยู่ที่ KCC มีนักเรียนที่พูดภาษาอังกฤษได้ดีหลายคน คนเหล่านี้มักขึ้นไปโต้วาทีเป็นภาษาอังกฤษ และมักจะหยิ่งผยองที่พูดอังกฤษเก่งกว่าใครอื่น พวกฉันจึงเกิดความหมั่นไส้ ความหมั่นไส้นี้เองทำให้เกิดความมุมานะ ตั้งกลุ่มขึ้นมาแข่ง แม้จะไม่ได้ขึ้นเวที แต่พวกฉันก็สามารถพูดภาษาอังกฤษได้แบบน้ำลายแตกฟอง เสียแต่ว่าอย่าให้ฝรั่งมาฟังเลย เอาแค่นักเรียน KCC ที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่ม รับรองแปลความภาษาฝรั่งที่พวกฉันพูดกันได้ไม่เกินครึ่ง
วิชาที่เรียนกันในโรงเรียนพาณิชย์ล้วนเป็นวิชาชีพที่มุ่งเน้นเร่งรัดให้นักเรียนสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ในทันทีที่เรียนจบ เป็นวิชาพื้นฐานที่นำไปใช้รับจ้างหาเงินได้จริง ๆ เช่น การขาย การบัญชี งานการบินพาณิชย์ การเงินการธนาคาร การค้านำเข้าและส่งออก งานประกันภัย พิมพ์ดีดไทย-อังกฤษ การเขียนชวเลข เป็นต้น ซึ่งตรงกันข้ามกับวิชาที่เรียนกันในสายสามัญทั่ว ๆ ไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชาคำนวณตัวอย่างเช่นโจทย์ที่ถามว่า “น้ำไหลเข้าถังในอัตรา 15 ลูกบาศกเมตรต่อชั่วโมง ถังมีรูรั่วทำให้น้ำไหลออกจากถังด้วยอัตราความเร็ว 8 ลูกบาศกเมตรต่อชั่วโมง ต้องใช้เวลากี่ชั่วโมงน้ำจึงจะเต็มถัง” ฉันทั้งมองทั้งวิเคราะห์โจทย์วิชาคำนวณประเภทนี้อย่างไรก็ยังไม่เห็นว่าจะนำเอาไปใช้ประโยชน์อันใดในชีวิตจริงได้ เพราะหากเป็นเรื่องจริง ฉันคงโยนถังใบนั้นทิ้งไปแล้วไปหาถังใบใหม่มารองน้ำ คงไม่ไปนั่งคำนวณเป็นวรรคเป็นเวรว่าจะใช้เวลากี่ชั่วโมงน้ำจึงจะเต็มถัง ทั้ง ๆ รู้ก็รู้อยู่ว่าถังมันรั่ว
สมัยที่หัดเรียนพิมพ์ดีดยังไม่มีเครื่องพิมพ์ดีดไฟฟ้า ครูสอนพิมพ์ดีดชื่อ “มิสวาริน” เป็นสาวสองพันปี หน้าใสใจเย็นเหมือนชื่อ แต่หูไม่ค่อยดีเพราะต้องอยู่ในห้องพิมพ์ดีดเกือบทั้งวัน เครื่องที่ใช้เรียนและฝึกพิมพ์เป็นเครื่องโอลิมเปียหรือไม่ก็ โอลิเวตตี้ มีเป็นร้อย เวลานักเรียนพิมพ์พร้อม ๆ กันเสียงดังมากจนพูดจาไม่ค่อยจะได้ยิน เครื่องพิมพ์ดีดพวกนี้มีทั้งเครื่องเบาและเครื่องหนักใครชอบอย่างไรก็ต้องหมายตากันไว้ให้ดี การเรียนเริ่มจากการฝึกพิมพ์ตัวอักษรต่าง ๆ ซ้ำ ๆ กันเพื่อให้จำได้ว่าแป้นอักษรใดอยู่ตรงไหนอย่างที่เรียกกันว่าการ “พิมพ์สัมผัส” คือการพิมพ์โดยไม่ต้องมองแป้น แป้นหลักที่วางนิ้วก่อนพิมพ์ตัวอื่นซึ่งต้องจำให้ได้ในภาษาอังกฤษคือ มือซ้ายนิ้วก้อยตัว A นิ้วนางตัว S นิ้วกลางตัว D นิ้วชี้ตัว F มือขวา นิ้วชี้ตัว J นิ้วกลางตัว K นิ้วนางตัว Lและนิ้วก้อยตัว ; ส่วนภาษาไทยก็ มือซ้ายนิ้วก้อยตัว ฟ นิ้วนางตัว ห นิ้วกลางตัว ก นิ้วชี้ตัว ด มือขวา นิ้วชี้ตัว ไม้เอก นิ้วกลางตัว สละอา นิ้วนางตัว ส และนิ้วก้อยตัว ว เรียกว่าเป็นการวางแป้นพิมพ์ดีดภาษาไทยแบบ เกษมณี ความเร็วเฉลี่ยในการพิมพ์ที่ทำกันได้ในสมัยนั้นถ้าเป็นภาษาอังกฤษก็อยู่ที่ประมาณ 60 – 70 คำต่อนาที แต่ถ้าเป็นภาษาไทยจะช้าลงมาหน่อยใครพิมพ์ดีดภาษาไทยได้ที่ความเร็วประมาณ 30-40 คำต่อนาทีก็ถือว่าเก่งแล้ว
ช่วงนั้นเป็นช่วงที่นักเรียนพิมพ์ดีดหรือใครก็ตามที่ต้องใช้เครื่องพิมพ์ดีดค่อนข้างจะสับสนเพราะทางราชการได้แนะนำให้ใช้พิมพ์ดีดภาษาไทยระบบใหม่ที่มีการวางนิ้วและการเรียงแป้นตัวอักษรใหม่เกือบทั้งหมดโดยอ้างว่าเป็นการวางตัวอักษรที่ใช้มากในภาษาไทยไว้ในที่ที่นิ้วเข้าถึงได้ง่ายกว่าการวางแป้นตัวอักษรแบบเดิม แต่ไม่ว่าจะพยายามอย่างไร เครื่องพิมพ์ดีดภาษาไทยระบบใหม่เรียกกันว่า “แบบปัตโชติ” ก็ค่อย ๆ หายไปจนสุดท้ายก็หายไปอย่างสิ้นเชิงเพราะคนไม่ยอมรับนั่นเองนอกจากความเร็วในการพิมพ์แล้วทางโรงเรียนยังเน้นเรื่องความประณีตในการพิมพ์เป็นอย่างมากอีกด้วย ตลอดปี 1 จนถึงปี 3 นักเรียนจะต้องพิมพ์ “จ๊อบ” ซึ่งเป็นงานพิมพ์ที่ต้องทำนอกเวลาเรียนปกติเพื่อส่งให้ครูตรวจเก็บคะแนนสะสมอย่างสม่ำเสมอ “จ๊อบ” ที่พิมพ์นี้คืองานพิมพ์ในรูปแบบต่าง ๆ กัน เช่นบทความที่ล้วนต้องอาศัยทักษะในการจัดเรียงรูปแบบการพิมพ์ การจั่วหัวเรื่องให้อยู่กึ่งกลางหน้ากระดาษเป็นต้น เรื่องการวางหรือจั่วหัวเรื่องให้อยู่กึ่งกลางหน้ากระดาษนั้น เด็กสมัยนี้อาจหัวเราะด้วยเห็นเป็นเรื่องง่าย แต่สมัยก่อนจะเป็นอะไรที่วุ่นวายมาก ต้องนับตัวอักษรทุกตัวที่จะวาง ได้เท่าใดหารด้วยสองจากนั้นจึงตั้งแคร่พิมพ์ดีดให้อยู่กึ่งกลางหน้ากระดาษพอดี กดแคร่ถอยหลังให้เท่ากับผลหารที่หาได้แล้วจึงพิมพ์ข้อความนั้นนักเรียนจะใช้เวลาในการพิมพ์จ๊อบนานเท่าใดก็ได้ แต่จะพิมพ์ผิดไม่ได้ ที่จริงพิมพ์ผิดได้แต่ผิดแล้วห้ามไม่ให้ลบหรือแก้ไขใด ๆ ทั้งสิ้น จ๊อบที่พิมพ์ผิดไม่ว่าจะผิดเล็กผิดน้อยแค่ไหนก็ตามจะต้องทิ้งไปเพียงสถานเดียว นอกจากเวลาและความตั้งใจที่เสียไปในการพิมพ์จ๊อบผิดแล้ว ที่ร้ายกว่านั้นคือค่ากระดาษพิมพ์จ๊อบที่โรงเรียนขายแพงถึงแผ่นละหนึ่งบาท ใครที่ไม่ระวังพิมพ์จ๊อบผิดมาก ๆ อาจหมดสตางค์ค่าขนมโดยไม่รู้ตัว
เรื่องพวกนี้พูดให้เด็กสมัยนี้ฟังคงไม่เข้าใจ เพราะระบบเวิร์ดโปรเซสเซอร์ที่ทันสมัยจึงทำให้จะทำอะไร อะไร ที่เคยยากกลายเป็นง่ายไปหมด รวมทั้งใจคนด้วย
ส่วนชวเลขหรือที่เรียกกันว่า “ชอร์ตแฮนด์” คือการจดบันทึกข้อความอย่างเร็วโดยใช้สัญญลักขณ์ย่อแทนการเขียนตัวหนังสือเต็ม ๆ เรียนกันเฉพาะชวเลขภาษาอังกฤษ ที่ KCC สอนชวเลขโดยใช้ระบบของเกร็ก นอกจากระบบเกร็กซึ่งเป็นระบบของอเมริกันแล้วก็มีระบบพิทแมนซึ่งเป็นของอังกฤษแต่ไม่ได้รับความนิยมเท่าระบบเกร็ก ตอนเรียนอยู่ปีสามฉันสามารถจดชวเลขได้ด้วยความเร็วเฉลี่ยถึง 80 คำต่อนาที ความสามารถในการจดชวเลขและพิมพ์ดีดนี้เองเป็นจุดเริ่มต้นแห่งการประกอบอาชีพรับจ้างที่ยาวนานกว่า 30 ปีของฉัน ดังจะค่อย ๆ เล่าให้ฟังกันต่อไป
สำหรับเด็กผู้หญิงที่ไม่สามารถเรียนสายสามัญหรือพ่อแม่ไม่มีสตางค์มากพอที่จะส่งให้ไปเรียนเมืองนอกได้จะต้องเบนเข็มมาเรียนพาณิชย์ นอกจาก KCC แล้วยังมีโรงเรียนพาณิชย์ของแม่ชีฝรั่งอีกแห่งหนึ่งอยู่เลยโรงเรียนลาซาลไปหน่อยหนึ่ง โรงเรียนแห่งนี้สอนให้เด็กจบออกมาทำงานเลขานุการโดยเฉพาะ มีชื่อเต็มว่า “โรงเรียนโฮลลี่ รีดีมเมอร์” หรืออย่างไรก็จำไม่ได้แน่นอนเสียแล้ว แต่นิยมเรียกกันโดยทั่วไปว่า “โรงเรียนโฮลลี่” ใส่เครื่องแบบเป็นกระโปรงสีเทาและเสื้อแขนสั้นสีชมพู จะว่าอุปทานหรืออะไรก็แล้วแต่ นักเรียนโฮลลี่ในสมัยนั้นล้วนขึ้นชื่อว่าสวยและปราดเปรียวนัก ตอนที่เรียน ม.ศ. 3 ปีสุดท้ายที่โรงเรียนลาซาล พวกฉันมักมีกิจกรรมในการทำกระลิ้มกระเหลี่ยส่งสายตากรุ้มกริ่มกับนักเรียนโฮลลี่ตอนนั่งรถเมล์ขาวสาย 2 ซึ่งวิ่งระหว่างปากคลองตลาดกับปากน้ำเสมอ ๆ แต่ก็ได้แค่นั้นเพราะนักเรียนโฮลลี่มักจะมองพวกเราให้เจ็บช้ำต่ำต้อยด้วยสายตากึ่งสมเพศกึ่งเอ็นดูด้วยเห็นว่าพวกเราเป็นแค่เพียงเด็ก “รุ่นน้อง” เท่านั้น พอโตขึ้นหน่อยเรียนพาณิชย์กะว่าจะตามไปจีบแก้แค้นเสียให้เข็ดก็ไม่มีโอกาสเพราะโรงเรียนตั้งอยู่คนละทิศคนละทางกัน
กิจกรรมที่สนุกเร้าใจอีกอย่างหนึ่งในสมัยที่เรียนพาณิชย์คือการไปเชียร์กีฬาอันได้แก่ฟุตบอลและบ๊าสเกตบอล ความรู้สึกในการเชียร์กีฬาในสมัยก่อนเป็นอะไรที่ยากที่จะบรรยายความ ลองนึกภาพเด็กในวัยหนุ่มสาวนั่งรวมกลุ่มกันหลาย ๆ ร้อยคน ร้องเพลงเชียร์เพลงเดียวกัน ปรบมือกระทืบเท้าเป็นจังหวะพร้อม ๆ กัน เมื่อทีมของโรงเรียนทำคะแนนได้หรือเป็นฝ่ายที่ชนะ ความอิ่มเอม ความภาคภูมิใจและความรู้สึกมีส่วนร่วม ที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของสถาบัน หรือความเศร้าเสียใจเมื่อทีมของโรงเรียนพ่ายแพ้ เป็นสิ่งเร้าเร้นลับที่สามารถทำให้กลุ่มคนทำอะไรที่โดยปกติจะไม่ทำกันได้โดยง่าย นี่เป็นเหตุที่นักเรียนยกพวกตีกัน ตั้งแต่สมัยก่อนจนถึงสมัยปัจจุบัน
ด้วยเหตุผลที่ไม่ทราบชัด โรงเรียนกิตติไม่เคยตีกับใครหรือถูกใครไล่ตี เพื่อเป็นการกันไว้ดีกว่าแก้ถ้าทีมโรงเรียนต้องไปแข่งกับโรงเรียนอื่นที่มีชื่อเสียงในเรื่องความรักสถาบันแบบเร่าร้อนรุนแรงเมื่อใด นักเรียนจะถูกห้ามไม่ให้ใส่เครื่องแบบไปเชียร์อย่างเด็ดขาด
นอกจากการเชียร์กีฬาแล้ว ยังมีกิจกรรมที่นิยมจัดกันเพื่อหาเงินไปทำอะไรต่อมิอะไรอีกอย่างหนึ่งเรียกว่า “ทีแด๊นซ์” นิยมจัดกันตามโรงหนังในวันหยุดเสาร์อาทิตย์เริ่มกันตั้งแต่ 6 โมงเช้าไปเลิกเอา 9 โมงก่อนที่หนังรอบเช้าจะฉาย ทีแด๊นซ์ ที่ว่านี้คือการแสดงดนตรี จะมีฉายหนังต่อท้ายหรือไม่ก็ได้ วัยรุ่นสมัยนั้นนิยมมากเปรียบไปก็เหมือนกับการแสดงคอนเสิร์ตในสมัยนี้
จากคุณ : แมงกะพรุน - [22 พ.ค. 45 04:05:44 A:203.121.146.238 X:]
ความคิดเห็นที่ 1
การพิมพ์ดีดนี้ทุกวันนี้ ผมมองคนที่ผ่านการเรียน ตามขั้นตอนมา เหมือนมองสิ่งมหัศจรรย์ของโลก คนอะไรไม่มองแป้นพิมพ์ มองกระดาษ แล้วพิมพ์ได้อย่างไร นั่นเพราะผมใช้หลักวิชา ดรรชนีสายฟ้า นิ้วเดี่ยวสยบคีย์บอร์ด ต้องมองแป้น แล้วจิ้มทีละตัวจะฝึกตามหลักวิชาก็สายเกินไปแล้ว ระบบราชการก็อย่างนี้ล่ะ พวกผู้ยิ่งใหญ่ไม่กี่คนคิดเองเออเอง แต่หากไม่มีใครรับก็จะหายไปเอง นี่ผมก็กำลังรอดูอยู่ว่าจะมันใครบ้าจี้ ปล่อยนักเรียนกลับบ้านเร็วขึ้น ตามแนวความคิดใครบางคนในคณะรัฐบาล ที่อยากให้เด็กกลับมาดูบอลโลกหรือเปล่า หวังว่ามันคงหายไปเหมือนพิมพ์ดีดแบบใหม่ ที่คุณแมงกะพรุนว่า นะครับ
จากคุณ : GTW - [22 พ.ค. 45 04:28:48 A:202.133.172.23 X:]
ความคิดเห็นที่ 2
เรียนคุณ GTW
ตรงกันข้าม ฉันกลับมองพวก “ดัชนีสายฟ้า” อย่างชื่นชม ที่เห็นมาก็เป็นพวก ตำรวจ เวลาพิมพ์สำนวน หรือไม่ก็พวกนักข่าว คนอะไร ใช้แค่สองนิ้ว ถ้าจับความเร็วต้องไม่ต่ำกว่า 35 ถึงสี่สิบคำต่อนาทีเป็นแน่แท้ แม้ว่าจะเมื่อยคอหน่อยหากต้องพิมพ์จากต้นฉบับ แต่ถ้าต้นฉบับอยู่ในสมองแล้ว คนพิมพ์เก้านิ้วต้องยกจอกคารวะ
เมื่อฉันทำงาน ต้องใช้เครื่องคิดเลขเป็นประจำ เครื่องคิดเลขนี้เหมือนกับเครื่องพิมพ์ดีดใช้สัมผัสได้โดยใช้นิ้วห้านิ้ว ต่างกันที่มีแป้นน้อยใช้นิ้วน้อยกว่า คนที่บวกเลขแบบแป้นสัมผัสจะบวกได้เร็วและไม่ค่อยผิด แต่มีเพื่อนคนหนึ่ง ชื่อ “สง่า” ใช้เพียงนิ้วเดียว คือนิ้วกลาง โดยเอาปากกาลูกลื่นขัดนิ้วไว้ สง่าบวกเลขได้เร็วไม่ต่างกับคนที่บวกสัมผัส ผิดก็น้อยกว่า เสียอย่างเดียวถ้าไม่มีปากกาขัดนิ้วเมื่อใดบวกไม่เป็นเมื่อนั้น
จากคุณ : แมงกะพรุน (ใครดี) - [22 พ.ค. 45 04:44:20 ]
ความคิดเห็นที่ 3
แฟนคลับมาลงชื่ออ่านค่ะ.แต่ละตอนจะมีส่วนที่แทงใจเป็นพิเศษนะคะ "ที่ทันสมัยจึงทำให้จะทำอะไร อะไร ที่เคยยากกลายเป็นง่ายไปหมด รวมทั้งใจคนด้วย".คมกริบเลยค่ะ ท่อนนี้ ขอคุณพระคุ้มครองสุขภาพไปตลอดค่ะ
จากคุณ : ปราณ - [22 พ.ค. 45 08:41:37 ]
ความคิดเห็นที่ 4
ตามอ่านมาเงียบๆหลายตอนและคงจะอ่านเงียบๆต่อไปแต่วันนี้ติดใจประโยคเดียวกับคุณปราณค่ะเลยอดไม่ได้ ขอลงชื่อไว้ให้กำลังใจบ้าง ^-^
จากคุณ : แม่มณี - [22 พ.ค. 45 15:34:26 ]
ความคิดเห็นที่ 5
ตามมาอ่านต่อ และดูภาพด้วยความชื่นชมค่ะ (เอ ไม่มีภาพของคุณแมงกะพรุนเลยหรือคะ อิอิ) สมัยเรียนมัธยมหก โอ้โฮก็เรียนวิชาเสริมสายพาณิชย์ค่ะต้องเรียนพิมพ์ดีดด้วย วิธีการจัดกึ่งกลางหน้าก็เหมือนกับที่คุณแมงกะพรุนเขียนค่ะ เครื่องก็แข็ง พิมพ์ผิดเพียบครูถึงได้บอกว่าถ้าจะเรียนพิมพ์ดีดต้องตัดเล็บให้สั้นมิเช่นนั้นเล็บจะเสียหมด ไม่เหมือนเดี๋ยวนี้ ไว้เล็บยาวก็กรีดกรายพิมพ์งานบนคีย์บอร์ดได้สบายๆ ชอบประโยคเดียวกับที่คุณปราณว่าเลยค่ะ
จากคุณ : O-HO - [22 พ.ค. 45 15:46:43 A:202.133.166.215 X:]
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น