วันจันทร์, กรกฎาคม 28, 2551

เรื่องของฉัน ตอนที่ 16


ตอนที่ 16

ฉันเรียนอยู่ที่โรงเรียนลาซาลจนจบชั้นสูงสุดของโรงเรียนในสมัยนั้นเรียกกันว่าชั้นมัถยมศึกษาปีที่ 3 หรือเรียกย่อ ๆ ว่า ม.ศ.3 ด้วยเหตุที่โรงเรียนลาซาลยังไม่ได้รับการรับรองวิทยฐานะจากกระทรวงศึกษาธิการ จึงต้องใช้ข้อสอบของกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งพวกเรากลับเห็นว่าง่ายนัก เมื่อนักเรียนสอบไล่ ม.ศ. 3 ได้ก็ต้องเลือกว่าจะเรียนต่อสายสามัญหรือสายอาชีพ หากต้องการเรียนต่อสายสามัญก็ต้องเรียนต่อ ม.ศ. 5 และ ม.ศ. 6 จากนั้นจึงสมัครสอบคัดเลือกเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยต่อไป สำหรับฉันการเรียนต่อสายสามัญเป็นเรื่องที่ไม่ได้อยู่ในความคิดเลยเนื่องจากมีความต้องการอย่างแรงกล้าที่จะหางานทำเพื่อให้มีรายได้เป็นของตัวเองให้เร็วที่สุด เหตุผลหลักอีกประการหนึ่งคือการที่ผลการเรียนของฉันไม่ได้อยู่ในเกณฑ์ที่พอจะหวังได้ว่าจะสามารถผ่านการสอบคัดเลือกเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยของรัฐได้

สมัยนั้นยังไม่มีมหาวิทยาลัยเปิด ส่วนมหาวิทยาลัยเอกชนก็มีไม่กี่แห่งและมีราคาค่าเรียนแพง นักเรียนที่เรียนจบ ม.ศ.3 หากไม่มุ่งมั่นว่าจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยของรัฐได้จริง ๆ ก็ต้องไปเรียนต่อเมืองนอกหรือทางเลือกสุดท้ายคือการเรียนอาชีวะ ซึ่งแบ่งออกเป็นสองสาย คือสายช่างกลและสายพาณิชย์ ฉันจึงเลือกที่จะเรียนอาชีวะสายพาณิชย์ โดยที่ป๋าก็มิได้คัดค้าน การเรียนพาณิชย์ในสมัยนั้นหากจะให้ดีจริง ๆ ต้องเรียนโรงเรียนพาณิชย์หลักสูตร 3 ปี เทียบได้กับ ปวช. ในสมัยนี้ และโรงเรียนพาณิชย์ที่ดีที่สุดได้แก่โรงเรียนอัสสัมชันพาณิชย์ หรือที่เรียกย่อ ๆ และรู้จักกันโดยทั่วไปว่า ACC ซึ่งมีชื่อเสียงในเรื่องของการคัดเลือกนักเรียนเข้าเรียน ถ้าไม่เก่งภาษาอังกฤษจริง ๆ โอกาสที่จะเข้าเรียนในโรงเรียนนี้เกือบจะเรียกว่าเป็นศูนย์ ป๋ามีความเห็นสอดคล้องว่าฉันต้องเข้าเรียน ACC ให้ได้ ลงทุนจ่ายเงินให้ฉันไปเรียนสอนเสริมพิเศษกับอาจารย์ซึ่งเป็นแขกอินเดียในตอนหัวค่ำ มีคนไปเรียนกันเยอะ แขกที่สอนจะสอนทบทวนพวกไวยากรณ์อังกฤษ ความเข้าใจภาษาอังกฤษ การอ่าน และการเขียน สื่อการสอนที่สำคัญและผู้เข้าเรียนทุกคนต้องหามา หรือซื้อเอาจากอาจารย์คือหนังสือพิมพ์ Bangkok Post จำได้ว่าฉันเรียนอยู่ประมาณ 3 เดือนก็เข้าสอบคัดเลือก

ในความเห็นของฉันข้อสอบมิได้ยากอย่างที่คิด ฉันสามารถทำเสร็จได้ในเวลาอันรวดเร็วจนเริ่มสงสัยว่าเร็วเกินไปเนื่องจากยังไม่เห็นมีผู้เข้าสอบคนใดทำข้อสอบเสร็จเลยจึงใช้เวลาที่เหลืออยู่เป็นอันมากนั่งทบทวนคำตอบทั้งหมดอยู่หลายครั้งจนมั่นใจมากว่าฉันต้องได้เข้าเรียนใน ACC แน่นอน พอได้เวลาที่กำหนดจึงส่งกระดาษคำตอบเป็นคนแรกของห้อง เมื่อมีเด็กที่เรียนสอนเสริมภาคค่ำสอบเสร็จแล้วตามออกมาก็มีการพูดคุยไถ่ถามกันเกี่ยวกับข้อสอบ ฉันจึงรู้ข้อเท็จจริงว่าเหตุที่ฉันทำข้อสอบได้เร็วกว่าคนอื่นนั้นเนื่องจากฉันทำข้อสอบไม่ครบ เพราะในข้อสอบหน้าสุดท้ายมีการพิมพ์ข้อสอบให้เขียนเรียงความภาษาอังกฤษอยู่ด้านหลัง ซึ่งฉันไม่เห็นเพราะไม่คิดว่ากระดาษข้อสอบจะมีข้อสอบพิมพ์ไว้ทั้งสองด้าน ผลคือเข้า ACC ไม่ได้ตามที่หวังไว้
โรงเรียนพาณิชย์ที่มีชื่อเสียงรองลงไปจาก ACC คือ KCC หรือ กิตติพาณิชย์ ฉันและเด็กอื่น ๆ ที่พลาดหวังจาก ACC และเด็กหญิงซึ่งเข้าเรียน ACC ไม่ได้ไม่ว่าจะเก่งอย่างไรก็ตามเพราะที่นั่นรับเฉพาะนักเรียนชาย จะต้องมาสอบคัดเลือกที่นี่ ผลการสอบคัดเลือกฉันสอบได้เป็นที่ต้น ๆ และได้เข้าเรียนใน KCC จนเรียนจบได้ภายในเวลาที่กำหนดชีวิตใน KCC เป็นชีวิตของเด็กรุ่นหนุ่มและแตกต่างกับชีวิตในโรงเรียนลาซาลเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นโรงเรียนสหศึกษามีนักเรียนหญิงซึ่งแตกเนื้อสาวร่วมชั้นเรียนมากมาย ในหลักสูตรเสริมของโรงเรียนก็มีการหัดให้นักเรียนเข้างานสังคม เช่นการฉลองการจบการศึกษาของนักเรียนรุ่นพี่และการรับน้องใหม่ ซึ่งจัดเป็นงานใหญ่ ใช้เวทีลีลาศสวนลุมพินีเป็นสถานที่จัดทุกปี นักเรียนชายที่ไปร่วมงานต้องใส่สูทชุดใหญ่ ส่วนนักเรียนหญิงก็แต่ชุดราตรี แต่งหน้าทำผมกันสวยงาม มีการเต้นรำลีลาศในจังหวะละติน ใครที่เต้นไม่เป็นก็ต้องขวนขวายหาคนสอน บางคนลงทุนขนาดไปเข้าชั้นเรียนก็มี ในช่วงเวลา 3 ปีที่เรียน ฉันได้ประสบการณ์แปลกใหม่หลายอย่าง เช่นการไปเที่ยวทางไกลกับหมู่คณะ การขับรถยนต์ การสูบบุหรี่ การดื่มเหล้าเบียร์ การมองผู้หญิงด้วยสายตาของชายหนุ่มซึ่งเริ่มเห็นว่าผู้หญิงสวย การชอบผู้หญิง การเป็นสิว การเปลื้องปลดความใคร่ด้วยตนเอง และการได้ลิ้มรสกลกามกับหญิงบริการเป็นครั้งแรก

ตอนขึ้นปีสอง จำได้ว่าเป็นการรับน้องใหม่ซึ่งโรงเรียนจัดให้มีขึ้นที่ชายหาดบางแสน ช่วงกลางวันมีกิจกรรมต่าง ๆ ไปจนถึงกลางคืนมีงานเลี้ยงและเต้นรำริมชายหาด ช่วงดึกฉันและเพื่อนใหม่หลายคนซึ่งล้วนอยู่ในวัยหนุ่มคะนองแอบดื่มเบียร์กันไปคนละหลายแก้ว พอตกดึกก็มีใครก็ไม่รู้เสนอว่าสมควรไปเที่ยวทัศนะศึกษากันแถบอ่างศิลาซึ่งมีข่าวว่ามีนางโลมสถานอยู่มากมาย และที่นางโลมสถานแห่งหนึ่งในละแวกอ่างศิลานี้เองที่ฉันเสียความเดียงสาในวัยหนุ่มไปด้วยราคาค่างวดเพียงไม่กี่สิบบาท นับจากคืนนั้นเป็นต้นมา ชีวิตฉันก็เต็มขึ้น ฉันรู้สึกตัวว่าเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้วและเริ่มมองผู้หญิงด้วยแรงขับที่เร้นลับในมุมมองที่ชายหนุ่มคะนองมองหญิงสาว ไม่ใช่เพื่อนร่วมชั้นเรียนหรืออะไรอะไรที่น่าสะพึงกลัวเหมือนแต่ก่อนอีกต่อไป

ผู้หญิงที่ฉันเริ่มชอบจริง ๆ จัง ๆ นั้นเรียนอยู่ปีเดียวกันใน KCC แต่อยู่คนละห้องกันชื่อหทัย ซึ่งฉันเรียกเขาว่า "คุณทัย" เมื่อนึกย้อนกลับไปแล้วก็ยังงงอยู่ ไม่รู้ว่าไปชอบเขาตรงไหน หทัยเป็นเด็กสาวตัวเล็ก ๆ ผิวดำแดง แถมยังผอมมากจนเพื่อน ๆ ปากเสียแอบตั้งฉายาให้ว่า "บ๊ะโป้" แปลว่าหมูแผ่น หทัยไว้ผมยาวและจะผูกโบว์เป็นผมแกล่ะไว้สองข้างแก้มจนเจนตา ถ้าจะนับไปแล้วก็นับได้ว่าหทัยนั้นเป็น "จิ๊กกี๋" คือหญิงวัยรุ่นที่แต่งตัวเปรี้ยวมากในสมัยนั้นด้วยการใส่กระโปรงสั้นเหนือเข่า เป็นกระโปรงที่มีตัวเล็กกว่าปกติและชอบที่จะเข้ากลุ่มกับนักเรียนรุ่นพี่มากกว่ารุ่นเดียวกันแถมยังรู้จักคนไปทั่วเกือบทั้งโรงเรียน ที่ไปชอบเขาเป็นวรรคเป็นเวรนั้นก็คงเป็นฉันแต่เพียงฝ่ายเดียวเนื่องจากเขาเฉย ๆ มิได้ยินดียินร้ายอะไรไปด้วย ดีไม่ดีไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าฉันแอบชอบหรือรู้แต่ไม่สนใจเนื่องจากฉันนั้นไม่มีอะไรที่น่าดึงดูดใจเพศตรงข้ามเลย

อย่างไรก็ตามที่ฉันถือเป็นกิจวัตรคือการไปดักรอหทัยที่ป้ายรถเมล์บุญผ่องที่ป้ายถนน 13 ห้าง บางลำพู เกือบทุกเช้า อานุภาพของความรักแรกมันรุนแรงนัก วันใดที่เจอและมีโอกาสได้ยิ้มให้แล้วเขายิ้มตอบมาวันนั้นทั้งวันจะเป็นวันที่โลกของฉันมีสีชมพู สดชื่นรื่นรมย์สมอุราไปหมด แต่ถ้าวันไหนรอแล้วไม่เจอ หรือเจอแล้วยิ้มให้เขาแล้วเขาแกล้งทำไม่เห็นหรือเห็นแต่ไม่ยิ้มตอบเพราะอารมณ์ไม่ดีหรืออะไรก็แล้วแต่ วันนั้นทั้งวันก็จะเป็นวันที่โลกของฉันมีสีดำไปเลยทีเดียว ช่วงที่ไปดักรอเพื่อร่วมนั่งรถเมล์ไปโรงเรียนด้วยกันนั้น บังเอิญมีเพื่อนคนหนึ่งไปเห็นเข้าแล้วเอาไปประโคมข่าวจนรู้กันไปทั้งห้องโดนล้อให้อับอายขายหน้าเป็นที่สุด สุดท้ายมีคนมาบอกว่าเขาเอาเรื่องที่ฉันไปวอแวกับเขาไปเล่าให้เพื่อน ๆ เขาฟังเป็นที่สนุกสนาน ฉันก็เลยตกที่นั่งคนอกหัก ตีอกชกหัวตัวเองเขียนโคลงกลอนพร่ำรำพันแบบคนที่สิ้นหวังอย่างสิ้นเชิงในชีวิตอยู่เป็นนานสองนาน
เพื่อน ๆ ที่ KCC เกือบทั้งหมดเป็นลูกจีน แต่มีที่สนิทกันกับฉันเพียงไม่กี่คน ที่ยังคบไปมาหาสู่กันจนถึงทุกวันนี้เป็นเวลา 40 กว่าปีแล้ว ชื่อ อานนท์ ยึดอาชีพขายประกันชีวิตจนรวย ส่วนหทัยนั้นไม่ได้พบกันอีกเลยนับจากจบมาไม่รู้ว่าป่านนี้เป็นตายร้ายดีอย่างไร ที่แปลกอีกอย่างคือที่ไปชอบเขาจนจะเป็นจะตายนั้น นับเอาจริง ๆ แล้วฉันได้พูดคุยกับเขาได้ไม่กี่สิบคำเท่านั้นเพื่อนผู้หญิงอีกคนหนึ่งในวัยหนุ่มของฉันนั้นเป็นลูกสาวเจ้าของร้านขายเครื่องมือหนักแถวสวนมะลิ ชื่อ แดง มีชื่อจริงเป็นฝรั่งว่า เทริซ่า คนนี้เจอกันเนื่องจากฉันมักจะไปยืนต่อรถเมล์กลับบ้านในตอนเย็นแถว ๆ สวนมะลิซึ่งป้ายรถเมล์บังเอิญอยู่ที่หน้าร้าน ส่วนเทริซ่านั้นจะเดินไปเดินมาอยู่ในบ้านซึ่งเป็นตึกห้องแถวทะลุฝาต่อกัน 2 หรือ 3 ห้อง มองไปมองมาก็เริ่มยิ้มให้กัน จนในที่สุดฉันเลยมีภาระกิจที่จะต้องไปยืนมองเธอทุกเย็นวันไหนไม่ได้ไปชีวิตเหมือนจะขาดอะไรไปบางอย่าง

ที่ต่างกันกับหทัยคือเทริซ่าดูจะมีใจให้กับฉันมากกว่าเพราะเธอจะต้องลงมาเดินยิ้มให้ฉันทุกวันไป มองกันไปมองกันมาอยู่เช่นนี้ประมาณ 3 หรือ 4 เดือน เทริซ่าก็ให้คนในบ้านนำเอาจดหมายใส่ซองปิดผนึกแน่นหนามายื่นให้ฉันที่หน้าร้านโดยที่ตัวเธอเองแอบดูลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่ในร้าน ฉันรีบเก็บจดหมายนั้นใส่กระเป๋ากางเกงอย่างรวดเร็วด้วยใจที่เต้นระทึก พอเงยหน้าได้อีกที่ก็เห็นเทริซ่ายิ้มเอียงอายแล้ววิ่งหนีหายไปหลังบ้านไม่กลับออกมาอีกเลย เมื่อฉันกลับถึงบ้านนั่งสงบจิตใจได้ดีแล้วจึงนำจดหมายเทริซ่าออกมาเปิดอ่านด้วยมืออันสั่นเทา ในจดหมายนั้นเทริซ่าแจ้งว่าเธอถูกพ่อแม่ส่งให้ไปเรียนต่อที่อังกฤษจะออกเดินทางในวันรุ่งขึ้นคงไม่มีโอกาสได้พบกันอีก พร้อมกันนั้นได้ให้ที่อยู่ที่อังกฤษไว้และกำชับให้ฉันเขียนจดหมายไปคุย เทริซ่ากับฉันเขียนจดหมายโต้ตอบกันอยู่เป็นหลายปี จนเมื่อฉันเริ่มทำงานจึงเริ่มห่างลงและขาดการติดต่อไปในที่สุด

ตลอดช่วงที่ฉันเรียนพาณิชย์ ป๋าให้เงินเป็นค่าใช้จ่ายซึ่งหมายรวมถึงค่าอาหารกลางวันและค่ารถไปโรงเรียนเป็นรายอาทิตย์เฉลี่ยอาทิตย์ละ 70 บาทโดยตกลงกันว่าจะจ่ายให้ฉันทุกเช้าวันจันทร์ แต่เอาเข้าจริงกว่าฉันจะได้เงินนี้ก็ปาเข้าไปวันพุธหรือพฤหัสเป็นประจำโดยป๋าอ้างว่าลืมหรือไม่มีแบงค์ย่อย อย่างไรก็ดี เท่าที่จำได้มีน้อยครั้งที่จะได้เต็มจำนวนส่วนใหญ่จะได้ที่ละ 20 บาทบ้าง 50 บาทบ้าง บางอาทิตย์รวม ๆ แล้วอาจได้เยอะกว่า 70 การจ่ายเบี้ยเลี้ยงป๋าจะวางเงินไว้บนโต๊ะเครื่องแป้งในห้องนอน ด้วยเหตุที่ป๋ามีภาระกิจงานยุ่งต้องพาลูกค้าไปเลี้ยงตอนกลางคืนเป็นประจำ อาทิตย์หนึ่งป๋าจะกินข้าวเย็นที่บ้านแค่วันพฤหัสและวันอาทิตย์ที่เป็นวันหยุดงานเท่านั้น วันอื่น ๆ นอกจากนี้ป๋าจะไม่กลับมากินข้าวบ้านและจะกลับเข้าบ้านตอนที่ฉันและทุกคนในบ้านหลับกันหมดแล้วเท่านั้น

ด้วยเงินจำนวนนี้ ฉันสามารถจ่ายเป็นค่ารถเมล์และค่าอาหารกลางวันได้ไม่ขาดแคลน แถมยังมีเงินเหลือไปโยนโบว์ลิ่งหรือดูหนังที่ชอบได้อีก โรงหนังในสมัยนั้นเป็นโรงขนาดใหญ่และมักจะมีสองชั้น (ชั้นล่างกับชั้นบน) ที่มีชื่อเสียงเป็นไทย ๆ ก็ได้แก่พวกศาลาทั้งหลายเช่น ศาลาเฉลิมไทย ศาลาเฉลิมกรุง ศาลาเฉลิมบุรี และที่มีชื่อเป็นฝรั่งก็พวก แกรนด์ คิงส์ ควินส์ และ โอเดี้ยน เป็นต้น อัตราค่าดูหนังจะเท่ากันหมดเกือบทุกโรงคือแถวหน้าสุดติดจอมีราคา 5 บาท เวลาดูจะเมื่อยคอหน่อยเพราะต้องแหงนหน้าดู ถัดมามีราคา 7 บาท 10 บาท 12 บาทและ 16 บาทเป็นชั้นสูงสุด ส่วนใหญ่แล้วฉันจะตีตั๋วชั้นถูกที่สุดคือ 5 บาท สำหรับโบลิ่งนั้นจะเก็บค่าเล่นตามจำนวนเกม จำได้ว่าเสียเกมละ 7 บาทถึงแพงที่สุดแบบมีเครื่องตั้งพินอัตโนมัตก็ตกประมาณเกมละ 12 บาท โรงโบวลิ่งที่ฉันไปเล่นชื่ออะไรก็ลืมเลือนไปเสียแล้วไม่มีเครื่องตั้งลูกเมื่อผู้เล่นโยนลูกโบว์ลิ่งไปกระทบพินล้มลงก็จะมีผู้หญิงนุ่งกาเกงขาสั้นกระโดดลงมาตั้งลูกใหม่พร้อมกับส่งลูกที่โยนไปคืนมาตามราง คนที่โยนเก่ง ๆ โยนโดนพินล้มหมดในครั้งเดียวหรือที่เรียกว่า "สไตรค์" บ่อย ๆ มักจะถูกหญิงตั้งลูกโผล่หน้ามาค้อนเอาอยู่เนือง ๆ ค้อนกันไปค้อนกันมาถึงขั้นนัดกันไปกินข้าวต้มต่อเมื่อโรงโบว์ลิ่งปิดก็มีให้เห็นอยู่บ่อยไป

ต่อมามีพัฒนาการขึ้นโรงโบว์ลิ่งเริ่มเอาเครื่องตั้งลูกอัตโนมัติมาใช้ แถว ๆ ถนนจรัลสนิทวงศ์เลยบ้านฉันไปประมาณ 2 ป้ายรถเมล์ มีโรงโบว์ลิ่งไปเปิดใหม่ชื่อ 35 โบวล์ ต่อมาบริเวณนั้นกลายเป็น 4 แยกเมื่อมีการสร้างสะพานพระปิ่นเกล้าและยังคงเรียกกันว่าแยก 35 โบวล์มาจนถึงทุกวันนี้แม้ว่าโรงโบวลิ่งจะเลิกกิจการไปนานแล้วก็ตาม

จากคุณ : แมงกะพรุน - [19 พ.ค. 45 06:38:28]

ความคิดเห็นที่ 1
^_^ อานุภาพความรักวัยเด็กเป็นอย่างที่คนแมงกะพรุนว่าจริงๆ ไม่เจอหน้าเจอหลังคาบ้านยังมีผมนะขนาดได้จับมือเธอนี่ โอ้ยไม่ยอมล้างมือไปสองวันเลยแค่สบตาหัวใจวาบหวิวเกือบสลบก็มี T_T
จากคุณ : GTW - [19 พ.ค. 45 07:17:37]

ความคิดเห็นที่ 2
อัตราค่าดูหนังสมัยก่อนถูกจริงๆ (รอตอนนางเอกออกค่ะอิอิ )
จากคุณ : njl - [19 พ.ค. 45 07:47:30]

ความคิดเห็นที่ 3
เข้ามาอ่านเรื่องของคุณแมงกะพรุนแล้วอดขำต่อกับคุณ GTW ไม่ได้ เล่นไม่ล้างมือสองวันเนี่ยหากท้องผูกก็คงจะพอไหวหน่อยแต่หากท้องไส้ไม่ใคร่ดีเนี่ย ผมว่าคงต้องตัดใจล้างนะครับ อิ อิ
จากคุณ : สาวกห้ากระสอบ - [19 พ.ค. 45 11:08:41]

ความคิดเห็นที่ 4
แฮ่ะๆ ตอนนั้นเป็นเด็กนี่ครับ จะล้างก็กลัวว่ารสสัมผัสจะหายไปนี่นา รักแรก แรกรัก ตอนนั้นเป็นนักเรียน แค่ได้วางรองเท้าคู่กันก็มีความสุขแล้วล่ะครับ ^_^
จากคุณ : GTW - [19 พ.ค. 45 17:40:57]

ความคิดเห็นที่ 5
คุณ GTW พูดเรื่องวางรองเท้าคู่กันให้ความรู้สึกได้ดีจัง เห็นภาพได้ชัดเจนว่าความสุขในรักที่แท้จริงเกิดได้โดยไม่ต้องถูกเนื้อต้องตัวกันแม้แต่น้อย ความรักของหนุ่มสาวสมัยก่อนกับสมัยนี้คงเป็นอะไรที่เปรียบเทียบกันได้ลำบาก ว่าไปแล้วคงเหมือนกับเพลงไทยเดิม 3 ชั้นกับเพลง แร้ป อธิบายอย่างไร จูน อย่างไรก็คงต่อไม่ติด ความรู้สึกเป็นสุขวาบหวิวอันเนื่องมาจากอานุภาพของความรักของหนุ่มสาวสมัยก่อนละเมียดละไมยิ่งนัก อาจเริ่มได้จาก “ขอเพียงแค่ได้พบประสบพักตร” ไปจนถึง “ขอเพียงยิ้มเท่านั้น..นะขวัญจิต” ไปจนถึง “แม้ตัวห่างไกล..ใจก็หวงห่วงนิวรณ์” ไปจนถึง “เฝ้าแต่ครวญเสียงเพลงฝากลม” “ฝากกระซิบถึงเธอว่า..ทุกคำสัญญาจำมั่น” ไปจนถึง “หากเธอแปรผัน..ฉันคง..ขาดใจ” ไปจนถึง “ขอจับแต่เสื้อ..จะไม่ให้ถูกเนื้อน้อง” วันใดได้แค่กลิ่นกาย ได้สัมผัสแม้เพียงเฉียดฉิว แค่ปลายนิ้วถูกกันโดยบังเอิญรู้สึกคล้ายกับกระแสไฟแห่งความสุขวิ่งพุ่งพล่านไปรอบกายเลยทีเดียว
จากคุณ : แมงกะพรุน - [20 พ.ค. 45 05:11:17]

ความคิดเห็นที่ 6
อ่านแล้วนึกถึงสมัยเรียนมัธยมค่ะ แค่แอบมองรุ่นพี่ทุกวันก็สุขใจแล้ว ส่วนความคิดเห็นที่ 5 ของคุณแมงกะพรุน อ่านแล้วอดยิ้มไม่ได้เลยค่ะ โดยเฉพาะที่บอกว่าอานุภาพความรักของหนุ่มสาวสมัยก่อนเป็นเรื่องที่ละเมียดละไม ไม่รู้ว่าเด็กๆสมัยนี้จะคิดแบบนี้กันบ้างหรือเปล่า
จากคุณ : O-HO - [20 พ.ค. 45 11:55:53]

ความคิดเห็นที่ 7
พวกกิตติพาณิชย์เขาแต่งเครื่องแบบอย่างไรครับขอชมภาพในอดีตของเวทีลีลาศลุมพินีด้วยครับ ขอบคุณ
จากคุณ : แกงจืด - [20 พ.ค. 45 17:01:51]

ความคิดเห็นที่ 8
มาชื่นชมตามเคยค่ะ ชอบตรงนี้จังค่ะ "ที่แปลกอีกอย่างคือที่ไปชอบเขาจนจะเป็นจะตายนั้นนับเอาจริง ๆ แล้วฉันได้พูดคุยกับเขาได้ไม่กี่สิบคำเท่านั้น" และ "เขียนจดหมายโต้ตอบกันอยู่เป็นหลายปี จนเมื่อฉันเริ่มทำงานจึงเริ่มห่างลงและขาดการติดต่อไปในที่สุด" สมัยนั้นเป็นเช่นนี้จริงเลยค่ะ และสงสัยจะได้เคยกระทบไหล่คุณแมงกะพรุนสมัยโน้นด้วยค่ะดูจากแหล่งที่อยู่ อิ..อิ...
จากคุณ : ปราณ - [20 พ.ค. 45 20:31:31 ]

ความคิดเห็นที่ 9
เรื่องแฟชั่นเครื่องแต่งตัวในสมัยที่ฉันยังเป็นวัยรุ่นคงไม่มีเอกลักษณ์อะไรมากมายหรือหลากหลายเหมือนสมัยนี้ เสื้อผ้าลำลองก็คืออะไรที่หาได้หรือมีอยู่นั่นแหล่ะ จะเลือกสรรกันนักคงไม่ได้ ส่วนเครื่องแบบนักเรียนชายระดับมัธยมปลายหากมีสตางค์จะต้องใส่กางเกงตัดร้านตัวกางเกงจะเข้ารูปพอดีตัว กระเป๋าเฉียงและไม่มีจีบ ส่วนเสื้อไม่พิถีพิถันเท่ากางเกงขอให้ตัวใหญ่เข้าไว้ ที่เรียกกันว่า “เสื้อพ่อ..กางเกงน้อง” รองเท้าก็เช่นกัน ยากจนหน่อยก็ใส่รองเท้าผ้าใบ (ที่ไม่ค่อยซัก..ถอดออกที่ไรคนปิดจมูกกันวุ่นวาย) แต่ถ้ามีสตางค์ก็ต้องใส่รองเท้าตัดร้าน เป็นรองเท้าหนังส้นเรียวเล็ก ปลายรองเท้าก็เรียวแหลม เรียกกันว่า “ทรงสเปน” ถ้าเป็นรองเท้าใส่เที่ยวจะให้เท่ห์สมอยากต้องเป็นรองเท้าหนังกลับหุ้มของ เรียกกันว่ารองเท้า “เช็คโก”
จากคุณ : แมงกะพรุน - [21 พ.ค. 45 05:25:05 A:203.121.146.79 X:]

ความคิดเห็นที่ 10
กระเป๋าใส่หนังสือจะไม่นิยมใช้เป้หรือกระเป๋าหนังแบบที่เห็นทุกวันนี้ มีหรือไม่มีสตางค์จะต้องขวนขวายหากระเป๋าสะพายที่เรียกกันว่ากระเป๋าเรือบิน เป็นกระเป๋าของสายการบินต่าง ๆ ที่นิยมกันมากที่สุดคือกระเป๋าของสายการบิน SAS ถ้าอับจนหากระเป๋าไม่ได้ก็จะใช้วิธีถือหนังสือสมุดเอาเลยโดยให้มีหนังสือหรือสมุดน้อยเล่มที่สุด (ที่เหลือทิ้งไว้ในเก๊ะที่โรงเรียน)

นักเรียนพาณิชย์สมัยนั้นเกือบทุกโรงเรียนจะให้นักเรียนชายใส่ชุดขาวทั้งเสื้อและกางเกงผูกเนคไทสีต่าง ๆ มีตราของโรงเรียน ไม่ทราบเหมือนกันว่าเพราะเหตุใดเพราะเปรอะเปื้อนง่ายโดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณก้นกางเกง จะนั่งจะลุกต้องดูทิศทางลมให้ดีพกกระดาษทิชชู่ไว้ในกระเป๋ากางเกงตลอดเวลาสำหรับเช็ดที่นั่งก่อนนั่งไม่งั้นอาจก้นดำไปทั้งวัน อับอายเขาแย่เลย ชุดขาวนี้เดาเอาว่าอาจเริ่มจาก ACC ใช้มาก่อนเลยใส่ตาม ๆ กันก็เป็นได้ ส่วนนักเรียนหญิงที่กิตติใส่กระโปรงสีฟ้าเสื้อคอบัวสีขาว ผูกหูกระต่างสีฟ้า ตามสีประจำโรงเรียน “เมื่อ ธงฟ้าขาวพราวไสว ฯลฯ” นักเรียนพาณิชย์จะไม่ถือกระเป๋าหนังสือจะถือสมุดหนังสือเป็นเล่ม ๆ เท่านั้น

ที่คุณแกงจืดขอให้เอารูปเก่า ๆ มาลงให้ดูกันอีกนั้น ขอเรียนว่า สมัยนั้นฟิล์มและค่าล้างรูปมีราคาแพง รูปที่เป็นทิวทัศน์แสดงบรรยากาศสมัยก่อนจริง ๆ ไม่นิยมถ่ายกัน นอกจากมีฟิล์มเหลือปลายม้วนแล้วไม่รู้จะถ่ายอะไร ส่วนใหญ่จะเน้นถ่ายรูปคนทั้งสิ้น ฉันลองพลิก ๆ ดูแล้วไม่มีอะไรที่น่าจะเป็นที่สนใจของสาธารณะเลยขออนุญาตให้ชมกันแค่ที่นำมาเผยแพร่ไว้แล้วในประมวลภาพถ่าย

ยิ่งตอนโตยิ่งแล้วใหญ่ นำมาเผยแพร่เมื่อใด เจ้าหนี้แตกตื่นแน่นอน ยิ่งได้ข่าวว่าที่ 1000tip นี่ หาต้นตอกระทู้ได้เก่ง ๆ อยู่ด้วย หวาดเสียว
จากคุณ : แมงกะพรุน - [21 พ.ค. 45 05:27:11 A:203.121.146.79 X:]

ความคิดเห็นที่ 11
เรื่องของพี่แมงกะพรุนคลาสิกมาก อ่านมาหมดทุกตอนแล้ว ชอบมากขออนุญาตทำลิ้งค์ให้นะคะจะได้อ่านกันง่ายหน่อยค่ะ
http://pantip.inet.co.th/cafe/writer/topic/W1504247/W1504247.html
จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ ช่วยกันโหวตให้เป็นกระทู้แนะนำต่อเนื่องด้วยนะคะ ตกข่าวอยู่เรื่อยเลยน่ะค่ะ
จากคุณ : JW (Chelsey) - [23 พ.ค. 45 07:42:07 ]

ความคิดเห็นที่ 12
ไม่ได้เข้ามานาน ไปถึงตอนที่ 13 แล้วหรือนี่ โชคดีจริงๆเลยครั้งก่อนมาก็อ่านตอนที่ 12 มีคนใจดี link ให้ตั้งแต่ตอนแรก มาอีกครั้งก็มี link ให้อีกแล้ว ขอบคุณพี่แมงกะพรุนที่เขียนเรื่องดีดีให้อ่าน คุณ GTW ที่มาสร้างสีสันทุกครั้ง คุณ JW ที่ทำ link ให้ และทุกๆคนค่ะ
จากคุณ : วูลฟ์เวอรีน่า - [23 พ.ค. 45 08:47:34 A:203.155.70.253 X:]

ความคิดเห็นที่ 13
เรื่องของคุณแมงกะพรุนเล่าความหลัง สื่อออกมาทางภาษาได้ดีมากครับ แต่ผมสงสัยอย่างนึง ซึ่งมิมิอาจมีบุญเกิดทันร่วมสมัยนั้น ผมสงสัยว่า ACC เป็นอันดับ 1 และกิตติพาณิชย์ เป็นโรงเรียนพาณิชย์ที่มีชื่อเสียงอันดับรองลงมา ในฐานะศิษย์เก่าพณิชยการพระนคร ผมสงสัยว่า พณิชยการพระนคร (ตอนนั้นอาจจมีชื่อเรียกอื่น ๆ) ชื่อเสียงเป็นอันดับที่เท่าไหร่ครับ ในวงการศึกษาพาณิชย์ช่วงนั้น และขอขอบคุณมากครับที่นำเอาเรื่องดี ๆ มาเล่าสู่กันฟัง
จากคุณ : บัณฑิตสุรา - [24 พ.ค. 45 06:50:11 ]

ความคิดเห็นที่ 14
ก่อนอื่นคงต้องขออภัยคุณบัณฑิตสุราไว้ ณ ที่นี้ด้วยที่มิบังอาจจัดอันดับสถาบันในเชิงเปรียบเทียบดังที่ขอมาได้ เหตุที่ฉันบันทึกเป็นข้อมูลในเชิงเปรียบเทียบเกี่ยวกับสถาบันการศึกษาไว้เพียงสองแห่งมิได้มีความหมายว่าสถาบันอื่นด้อยกว่าแต่ด้วยเพราะรู้จักเพียงสองแห่งซึ่งในบรรดาหมู่พวกที่รู้จักคบกันในสมัยนั้นก็ตั้งความหวังไว้เช่นเดียวกันว่าต้องเป็นสถาบันแรกถ้าพลาดจากสถาบันแห่งแรกก็ต้องเป็นแห่งที่สอง แน่นอนมีเด็กอีกมากที่เรียนพาณิชย์จากสถาบันอื่นและประสบความสำเร็จในชีวิตเป็นใหญ่เป็นโตจนทุกวันนี้โดยอาจจะไม่รู้จักทั้งสองสถาบันที่ฉันบันทึกในเชิงเปรียบเทียบดังที่ได้เรียนชี้แจงไว้แล้วเลย สำหรับพาณิชย์พระนครนั้นคงไม่ต้องพูดกันเรื่องคุณภาพเพราะสถาบันนี้เป็นสถาบันที่เก่าแก่มีศิษย์เก่าจบออกมาทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติมากมาย ติดที่ว่าจะเปิดเผยหรือไม่เปิดเผยตัวเท่านั้น เชื่อผมเถิดครับ เอ๊า 1-2-3..”ซิงเงียบ…….ฮ้อ”
จากคุณ : แมงกะพรุน - [25 พ.ค. 45 16:39:08 A:203.107.150.80 X:]

ความคิดเห็นที่ 15
ขอบคุณที่กรุณากล่าวตอบครับ ด้วยจิตคารวะ
จากคุณ : บัณฑิตสุรา - [25 พ.ค. 45 23:03:19 ]

ไม่มีความคิดเห็น: