วันจันทร์, กรกฎาคม 28, 2551

เรื่องของฉัน ตอนที่ 20


ตอนที่ 20

จำได้ว่าตั้งแต่เริ่มอ่านหนังสือแตกฉันก็เริ่มอ่านหนังสือเริงรมย์ประเภทต่าง ๆ อย่างเอาเป็นเอาตาย นิสัยรักการอ่านนี้ น่าจะติดมาจากแม่ซึ่งเป็นนักอ่านตัวยง จากแม่แล้วก็เห็นมีน้าอู๊ดที่ชอบอ่านหนังสือเหมือนกัน นอกจากนั้นฉันไม่เคยเห็นใครชอบอ่านหนังสือเลย นิตยสารรายสัปดาห์ที่มีเรื่องนิยายลงเป็นตอน ๆ ที่แม่ติดงอมแงมซื้อมาอ่านแล้วตกทอดมาถึงฉัน เป็นนิตยสารที่พิมพ์ออกวางจำหน่ายอาทิตย์ละฉบับ ที่จำได้แม่นยำคือ “เดลิเมล์วันจันทร์” เรียกสั้น ๆ ว่า “เดลิเมล์” นอกนั้นก็เป็นพวก “สกุลไทย” สตรีสาร และ แม่ศรีเรือน เป็นต้น

หนังสือเหล่านี้เองที่เป็นตัวเปิดโลก เปิดประตูหน้าต่างให้จินตนาการของเด็กอย่างฉันได้โลดแล่นออกอย่างอิสระเสรีไปในโลกภายนอก ก่อนที่จะขึ้นชั้นเริ่มอ่านหนังสือเป็นเล่ม ๆ ฉันอ่านเรื่องสี่แผ่นดินเป็นครั้งแรกเมื่อมีอายุได้ประมาณ 14-15 ขวบ เป็นการอ่านรวดเดียวจบเล่มแบบลืมกินข้าวลืมกินน้ำ ความรู้สึกของฉันในตอนนั้นคือทั้งหมดที่เป็นตัวฉันทั้งกายและใจได้ย้อนกลับไปอยู่ร่วมสมัยกับแม่พลอย คุณเปรม แม่ช้อย และ พ่อเพิ่ม หัวเราะไปกับความแก่นทะเล้นของแม่ช้อยเมื่อคราได้รับหน้าที่ได้สอนให้เสด็จทรงรถจักรยาน ยิ้มตื้นตันเมื่อแม่พลอยขอตาอ้นไว้เป็นลูก “ลูกคุณเปรม..ตาอ้นคนนี้ฉันขอเป็นลูกเสียจะได้ไหม” น้ำตาไหลพรากเมื่อคุณเปรมตกม้าตาย น้ำตาไหลซึมอีกครั้งเมื่อตาอ๊อดลูกชายคนเล็กของแม่พลอยเป็นไข้ป่าตาย นับจากนั้นมาฉันอ่านเรื่องสี่แผ่นดินซ้ำแล้วซ้ำอีกนับเป็นหลายสิบครั้ง ทุกครั้งที่อ่าน ความรู้สึกเดิม ๆ แม้ว่าจะบรรเทาลงเทียบไม่ได้กับเมื่ออ่านในครั้งแรกด้วยรู้เรื่องราวอยู่แล้วแต่ความรู้สึกซาบซึ่งในถ้อยอักษรที่ผู้ประพันธ์เรียงร้อยไว้อย่างหมดจดงดงาม ก็ย้อนกลับมาเร้าอารมณ์ร่วมได้ทุกครั้ง

นอกจากเรื่องสี่แผ่นดินแล้ว ก็เป็นหนังสือนิยายชุดต่าง ๆ เช่น ปริศนา รัตนาวดี เจ้าสาวของอานนท์ หรือ ข้างหลังภาพ ไปจนถึง ล่องไพร เพชรพระอุมา หรือ พล นิกร กิมหงวน หรือแม้กระทั่งหนังสือปกแข็งสีน้ำตาลเก่าคร่ำ จัน ดารา ที่แม่อุตส่าห์ซ่อนไว้หลังตู้และฉันไปพบเข้าโดยบังเอิญ ในยุคถัดมา แม้ว่าจะย่างเข้าวัยรุ่นฉันยังต้องเสียน้ำตาให้กับ “อังศุมาลิน” และ “โกโบริ” หนังสือเหล่านี้คือสิ่งที่ฉันเห็นว่าเป็นเพื่อนแท้ของฉัน ไม่ว่าจะทุกข์หรือสุขอย่างไร หากฉันได้หยิบหนังสือเล่มใดเล่มหนึ่งขึ้นมาอ่านแล้ว โลกที่เป็นปัจจุบันก็พลันมลายไปในทันที จิตวิญญาณของฉันจะหัวเราะและร้องไห้โลดแล่นไปตามบทบาทของตัวละคอนที่ผู้ประพันธ์กำหนดไว้ ทุกครั้งที่ฉันปิดหนังสือลง ฉันกลับมาสู่ชีวิตจริงพร้อมกับความรู้สึกว่าฉันรู้จักโลกมากขึ้น รู้ซึ้งถึงทุกข์และสุขที่ต้องพานพบประสบเจอ จนเมื่อฉันมีอายุมากขึ้นได้รู้ได้เห็นมากขึ้น ฉันจึงเริ่มยอมรับว่า แม้ในชีวิตจริงบทบาทของคนแต่ละคนก็ไม่ต่างไปจากบทบาทของตัวละคอนในหนังสือที่ถูกกำหนดโดยผู้ประพันธ์ มนุษย์ทุกผู้ ล้วนเป็นเพียงตัวหมากในกระดาน ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิต ล้วนมีผู้กำหนดลิขิตไว้แล้วทั้งสิ้น

ที่น่าแปลกคือ ไม่ว่าจะมีผู้นำเอาบทประพันธ์ที่ทรงคุณค่าดังกล่าวข้างต้นไปสร้างเป็นละคอนหรือภาพยนต์กี่ครั้งกี่ตอนก็ตาม ดาราที่แสดงนำเปลี่ยนแปรไปกี่กลุ่มกี่คนก็ตาม อรรถรสที่ได้เมื่อเทียบจากที่ได้รับจากการดูหนังดูละคอนนั้น ๆ กับการอ่านหนังสือเรื่องเดียวกัน กลับแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง อาจเป็นเพราะในจินตนาการส่วนลึกของฉันได้วาดภาพลักษณะของตัวละคอนแต่ละตัวไว้อย่างแนบแน่นแล้วก็เป็นได้ ภาพของดาราที่รับจ้างเข้ามาสวมบทบาทของตัวละคอนจึงเข้ากันไม่ได้กับทุกตัวละคอนที่ฉันรู้จักคุ้นเคยเป็นอย่างดีในมโนคติของฉัน ฉันจึงดูหนังดูละคอนอย่างคนดูที่ดูหนังดูละคอน มิได้เข้าไปมีส่วนร่วมเหมือนทุกคราที่มีเวลาหยิบหนังสือสักเล่มขึ้นมาอ่าน

จะมีก็อาจเป็นเพียงเล่มเดียวเท่านั้น คือ “สามก๊ก” อ่านอย่างไรก็ไม่จบสักที

เสียดายที่หนังสือเก่าที่แม่เก็บสะสมไว้ถูกเผาเสียหายไปทั้งสิ้นเมื่อบ้านถูกไฟไหม้ในโอกาสต่าง ๆ กัน แม้ว่าในปัจจุบันฉันได้ซื้อหาหนังสือที่มีผู้นำกลับมาพิมพ์ซ้ำมาเก็บสะสมไว้จนเกือบจะครบทุกชุด ความรู้สึกก่อนที่จะเปิดหน้าปกหนังสือแล้วปล่อยใจปล่อยจินตนาการให้ล่องลอยไปกับเนื้อเรื่องและตัวละคอน ก็ยังเห็นว่าหนังสือเหล่านั้นเป็นของใหม่ที่ฉันไม่คุ้นเคยอยู่ดีโอกาสที่ฉันจะอ่านหนังสือเริ่มมีน้อยลงและหมดไปเกือบสิ้นเชิงเมื่อฉันเรียนจบพาณิชย์และเริ่มทำงาน ประกอบกับดูเสมือนหนึ่งว่าผู้ประพันธ์อาวุโสแต่ละท่านก็เลิกราที่จะผลิตงานเขียนที่มีคุณค่าออกมาอย่างต่อเนื่อง งานประพันธ์ซึ่งเคยมีเอกลักษณ์ในตัวของผู้ประพันธ์บางท่านเริ่มถูกบงการโดยผลประโยชน์ในเชิงพาณิชย์จนความละเมียดละไมอ่อนไหวในเชิงอารมณ์จางหายไปเสียเกือบหมดสิ้น

ที่ฉันรับไม่ได้และยังรับไม่ได้อยู่จนถึงทุกวันนี้คือ การลอกงาน ไม่ว่าจะเป็นเพียงแค่เค้าโครงเรื่อง หรือลักษณะนิสัยของตัวละคอนบางตัวก็ตาม ฉันรับไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบ แม่พลอยกับปานวาด ฉันรับไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบคุณสาย กับ คุณหยด ที่รับไม่ได้อย่างสิ้นเชิงคือการเปรียบเทียบ แม่ช้อย กับ แม่กลิ่น ด้วยความที่แม่ช้อยกับฉันนั้น แม้จะไม่รู้จักเคยเห็นหน้าค่าตากันมาก่อน แต่แม่ช้อยก็เป็นยิ่งกว่าเพื่อนสนิท เป็นยิ่งกว่าญาติที่ฉันรู้จักเป็นอย่างดีมาทั้งชีวิต

สำหรับงานเขียนของฉันเอง นับจากที่ได้รับรางวัลเรียงความดีเด่นสมัยที่เรียนประถมปีที่สี่แล้ว ฉันก็มิได้มีงานเขียนใดที่เป็นชิ้นเป็นอัน นอกจากการเขียนเรื่องสั้นรำพึงรำพันแบบเด็ก ๆ ซึ่งก็ได้รับการตีพิมพ์โดยไม่ได้สตางค์บ้างในหนังสือประเภทศาลาคนเศร้าอะไรทำนองนั้น จำได้ว่าตอนเรียนพาณิชย์ปีสุดท้ายเคยลองส่งเรื่องสั้นไปยังนิตยสารสำหรับผู้หญิงบ้างเหมือนกัน แต่ก็เห็นเงียบหายไปและไม่ได้รับการติดต่อแต่ประการใด เลยคิดเข้าข้างตัวเองว่า เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์คงส่งต้นฉบับไปผิดที่เป็นแน่แท้

ส่วน “เรืองของฉัน” นี้ ทีแรกคิดเพียงว่าจะบันทึกอะไร อะไร ที่ฉันมีโอกาสได้พบได้เจอไว้ให้ลูกให้หลานได้อ่านกันเล่น ๆ จนกระทั่งสังขารเริ่มเสื่อมถอย โรคภัยไข้เจ็บรุมเร้า จึงเกิดความคิดขึ้นว่าน่าจะรวมพิมพ์เป็นหนังสือแจกให้กับญาติมิตรที่มาร่วมในงานเผาศพของฉัน ฉันมีโอกาสได้หารือเรื่องนี้กับเพื่อนสนิท เกือบทุกรายเห็นด้วย มีอยู่คนเดียว เป็นคนตรงมากที่ถามกลับมาว่า อะไรที่ทำให้ฉันคิดว่าชีวิตฉันนั้น น่าสนใจ ฉันตอบมันกลับไปว่า ชีวิตของฉันอาจไม่น่าสนใจ แต่ฉากที่ชีวิตของฉันได้มีโอกาสโลดแล่นผ่านไป ไม่ว่าจะเป็นผู้คน ตลอดไปจนถึงเหตุการณ์สภาพแวดล้อมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ต่างกัน หากจะบันทึกไว้ในมุมมองของคนที่พยายามที่จะถอดจิตวิญญาณของความเป็นตัวตนออกแล้วมองย้อนกลับไปในอดีตด้วยจิตใจความรู้สึกนึกคิดที่นิ่งสงบและเป็นกลางอย่างที่สุด เหล่านี้ต่างหากที่ฉันคิดว่าน่าจะน่าสนใจ ก็เห็นมันเงียบไปไม่โต้เถียงกลับมาอีก

เพื่อนคนนี้เอง ที่เดินเข้ามากลางวงในขณะที่กำลังถกกันหน้าดำคร่ำเครียว่าจะพิมพ์หนังสืออย่างไร จึงจะถูกสตางค์ที่สุด แล้วโพล่งขึ้นกลางวงตามนิสัยของมันว่า “แจกเป็นดิสเก็ตสิวะ”

จากคุณ : แมงกะพรุน - [29 พ.ค. 45 02:54:44 A:203.121.146.98 X:]

ความคิดเห็นที่ 1
ตอนที่ผมเห็น "เรื่องของคุณ" เอ้ย... "เรื่องของฉัน" ครั้งแรกกับนามคีย์บอร์ด "แมงกะพรุน" ในขณะที่กำลังไล่อ่านเรื่องต่างๆ อยู่นั้น ผมแทบไม่ได้สนใจเลย เพราะชื่อมันธรรมดามาก เลยข้ามไปอ่านเรื่องอื่นๆ ก่อน ตามปกติวิสัย ที่จะอ่านนิยายเรื่องยาวก่อน จบแล้วค่อยไล่อ่านอย่างอื่นท้ายรายการ จนไล่มาถึงเรื่องนี้ อ่านช่วงแรกก็ธรรมดา แต่ยิ่งอ่านๆไปก็ยิ่งน่าติดตาม ชื่นชอบมากชึ้นทุกที กับ กับลักษณะ สำนวน การนำเสนอ เรื่องราว ชีวิตเป็นสิ่งที่น่าสนใจอยู่แล้ว ยิ่งชีวิตซึ่งผ่านการบอกเล่าอันเต็มไปด้วยศิลปะทางภาษาและมุมมอง สำหรับผมแล้วรุ้สึกว่า "งานพิมพ์" (งานเขียน) เป็นศิลปะ สาขาหนึ่ง เหมือนภาพวาด ดนตรี กวี และชีวิต งานศิลป์อื่นๆ นี่กระมังที่ทำให้ผมชอบ เรื่องของคุณ นี้มากนี่คืองานศิลป์ที่ทรงคุณค่าสวยงามอีกชิ้นหนึ่ง ^_^
จากคุณ : GTW - [29 พ.ค. 45 04:53:09 A:202.133.172.24 X:]

ความคิดเห็นที่ 2
มาเช็คชื่อ.."มาค่ะ" ...ตามเคยละค่ะ ตอนแรกที่มาอ่านเรื่องของฉันนี้ เข้ามากระทู้กลางๆ แล้วรู้สึกทันทีว่า"ไม่ธรรมดา".ว่ากำลังอ่านงานของนักประพันธ์อาชีพค่ะ จึงรีบย้อนกลับไปตะลุยอ่านหมดพร้อมทั้งส่งให้คนสนิทชิดเชื้อ และโวตเก็บทุกครั้งทีเดียวไม่ต้องบอกละนะคะ ว่าเป็นแฟนคลับเหนียวแน่นแค่ไหนแหะๆ..เดลิเมล์วันจันทร์ !! ไม่เคยได้ยินใครเอ่ยถึงมานาน เต็มทีแล้ว ตอนนั้นติดใจเรื่องของท่านหญิง "ดวงดาว" ด้วยนะคะในเล่มนั้น และนอกจากนิตยสารที่คุณแมงกะพรุนเอ่ยถึง มี "ศรีสัปดาห์"อีกเล่มด้วยค่ะ ที่อยู่ในชุดนั้น บรรดาหนังสือเรื่องชุดทั้งหมดที่คุณแมงกะพรุนกล่าวมา วุ้ย..วุ้ย.. เราร่วมยุคสมัยกันจริงๆค่ะ ขอเติมของดอกไม้สดด้วย นะคะ เรื่องอ่านหนังสือนี้อ่านหมดทุกอย่างรวมทั้งบนถุงกระดาษที่พับมาจากหนังสือด้วยค่ะ...
ขอขอบคุณที่รื้อฟื้นความหลังแสนหวาน และ ขอคุณพระคุ้มครองสุขภาพค่ะ
จากคุณ : ปราณ - [29 พ.ค. 45 06:07:33 ]

ความคิดเห็นที่ 3
แหะๆ โคอาร่ากำลังอ่านเรื่องสี่แผ่นดินอยู่พอดีเลยค่ะ แต่อ่านมาสองสามอาทิตย์แล้ว เพิ่งจะจบไปสิบเอ็ดบทเองไม่ใช่ว่าไม่สนุกหรอกค่ะ เพราะขนาดอ่านไปแค่สิบเอ็ดบทโคอาร่ายังยกให้เป็นนวนิยายไทยอันดับต้นๆ ในหัวใจไปเรียบร้อยแล้ว ชอบตัวละครทุกตัวในเรื่องนี้ ราวกับเขามีตัวตนจริงๆ แน่ะค่ะยกเว้นคุณอุ่น...แหะๆ โคอาร่ายังไม่ได้ซื้อหนังสือเลย แต่อ่านจากเน็ตน่ะค่ะ ถ้าใครยังไม่เคยอ่านก็เข้าไปที่ url ข้างล่างนี้นะคะโคอาร่าเคยเห็นเขาแปะไว้ในกระทู้ห้องสมุดนานแล้ว และก็ add favorites เอาไว้ เพิ่งจะมีโอกาสอ่านเมื่อไม่นานมานี้ค่ะ http://geocities.com/siamstory/index_ploy.html
จากคุณ : โคอาร่า - [29 พ.ค. 45 08:42:19 A:202.57.160.159 X:202.44.216.244]

ความคิดเห็นที่ 4
อ่านบทนี้แล้วเหมือนว่าจะจบ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ขอให้มี เรื่องของฉัน (ภาค วัยรุ่น, วัยทำงาน หรือ วัยมีครอบครัว หรือ อะไรที่คุณแมงกะพรุน มีประสบการณ์มา ด้วยความปราถนาดี
จากคุณ : แกงจืด - [29 พ.ค. 45 08:42:38 A:203.146.8.75 X:10.10.10.104]

ความคิดเห็นที่ 5
มาเช็คชื่อในฐานะที่เป็นผู้ติดตามอ่านอย่างเหนียวแน่นค่ะ @ ^_^ @ นิยายเรื่องสี่แผ่นดิน โอ้โฮ เคยพลิกอ่านที่ห้องสมุดโรงเรียนเป็นชุดที่พิมพ์ครั้งเก่ามาก มีภาพประกอบด้วย จำไม่ได้ว่าใครเป็นผู้แสดง แต่จำแม่นคือ คุณชูศรี มีสมมนต์ ( ไม่แน่ใจว่าพิมพ์นามสกุลของท่านถูกหรือไม่ ) แสดงเป็น แม่ช้อยเป็นภาพที่ติดตามาก และมาอ่านอีกครั้งอย่างจริงจังตอนเรียนปีสองค่ะ เป็นเล่มเขียวๆ มีสี่เล่ม พิมพ์แยกแผ่นดิน ยืมเขามาอีกเช่นกัน แหะ แหะ จนเมื่อเร็วๆ นี้ สนพ. ดอกหญ้า 2000 ได้นำมาพิมพ์อีกครั้ง จึงได้ซื้อหามาเก็บไว้ ซึ่งนิยายเรื่องนี้ เป็นนิยายเรื่องเดียวที่โอ้โฮคิดว่าให้รายละเอียดเกี่ยวกับเหตุการณ์ในช่วงสมัยนั้นได้ดีที่สุด และขออนุญาตแสดงความคิดเห็นนะคะ แม้จะไม่อยากเอ่ยถึงเลย เกี่ยวกับเจตนารมย์ของคุณแมงกะพรุนที่ว่า เขียน "เรื่องของฉัน" นี้ ขึ้นมาเพื่อสำหรับพิมพ์แจกใงนา.. ว่าไม่อยากให้ทำเป็นดิสเก็ตค่ะ แม้ว่าทุกวันนี้ คอมพิวเตอร์ จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตคนเราอย่างแยกไม่ออก แต่โอ้โฮก็ยังเชื่อว่าการได้อ่าน ได้สัมผัสเรื่องราวจากหนังสือเป็นเล่มๆนั้น ให้ความรู้สึกที่ลึกซึ้งกว่า หากคุณแมงกะพรุนต้องการลดค่าใช้จ่ายในขั้นตอนการพิมพ์ต่างๆ โอ้โฮยินดีรับจัดหน้า (ทำ Art Work) ให้ ซึ่งคงจะช่วยได้ส่วนหนึ่งค่ะ
จากคุณ : O-HO - [29 พ.ค. 45 14:29:10 ]

ความคิดเห็นที่ 6
I've been reading your stories.. (been a while). Nice to know & meet you (at the same time), and thanks for continuing keep us (readers) coming back here looking for your stories.take care..:)
จากคุณ : KowPoad - [29 พ.ค. 45 20:41:19 ]

ความคิดเห็นที่ 7

ยังตามอ่านทุกตอนด้วยความชื่นชมนะครับ (แล้วก็ save เก็บไปไว้ทุกตอนด้วย) เห็นด้วยกับคุณโอ้โฮนะครับว่าเสน่ห์ของหนังสืออย่างหนึ่งคือการได้สัมผัสรูปเล่มตอนอ่าน ... ผมมีหนังสือในรูปของ e-book มากมาย แต่ไม่เคยอ่านเรื่องไหนจากคอมพิวเตอร์ได้เลยครับอะไรยาวเกินสามหน้า ผมต้องพิมพ์ออกมาอ่าน ม่ายงั้นปวดตามากครับ
จากคุณ : ศุภา - [29 พ.ค. 45 21:34:20 A:65.25.245.150 X:]

ความคิดเห็นที่ 8
ขออีกรอบค่ะ...
ขอเห็นด้วยกับคุณโอ้โฮ และคุณศุภา เรื่อง"ความรู้สึก" ที่ได้รับจากการอ่านหนังสือกระดาษค่ะ แต่ถ้าไม่มีจริงๆหนังสือที่จับต้องไม่ได้ก็ยังดีค่ะ และ แหม..น้าน นาน สักทีจึงจะเจอคนที่มีความรู้สึกร่วมค่ะ ที่ว่า เมื่อเราชอบหนังสือใดแล้วเมื่อมีคนนำไปทำเป็นหนังหรือละคร ไม่เคยได้รสเทียบเท่าที่เรามีในใจเลย ไม่เคยเจอเลย ทั้งไทยและไม่ใช่ไทย
จากคุณ : ปราณ - [29 พ.ค. 45 22:46:54 ]

ความคิดเห็นที่ 9
"Sakulthai" is my favourite magazine as well ka.Gods bless you
จากคุณ : Taratorn - [30 พ.ค. 45 01:03:35 A:194.80.32.11 X:148.88.145.163]

ความคิดเห็นที่ 10
มาลงชื่อตามเคยค่ะ ตอนนี้เน้นเรื่องหนังสือนะคะเป็นคนชอบอ่านเหมือนกันค่ะ แต่อ่านช้าอ่านจากคอมฯไม่มีปัญหาค่ะ
จะรออ่านตอนต่อไปค่ะ บุญรักษานะคะพี่แมงกะพรุน
จากคุณ : JW - [30 พ.ค. 45 10:45:00 A:142.173.107.180 X:]

ความคิดเห็นที่ 11
อะอะ..เรามาอ่านตอนสุดท้ายพอดี...ว่าแต่ว่าเราไม่อยู่ร่วมสมัย..ไม่รู้จักหนังสือเดลิเมล์คะ...แหมแต่ตอนเด็กๆเราไม่มีหนังสือดีๆอย่างนี้อ่านเลย อิจฉา ตอนด็กอ่านหนังสือพิมพ์ดาวสยามเป็นหนังสืออ่านเล่นคะเพราะไม่มีอย่างอื่นให้อ่านเลย (ยกเว้นหนังสือเรียน)
จากคุณ : คนตกขอบ - [1 มิ.ย. 45 00:15:44 A:203.113.38.13 X:]

ไม่มีความคิดเห็น: