วันจันทร์, กรกฎาคม 21, 2551

เรื่องของฉัน ตอนที่ 1



วัยเด็ก 2493 – 2506

นับจากที่ฉันจำความได้ ครอบครัวของฉันจัดได้ว่าเป็นคนชั้นกลางไม่รวยไม่จนพอมีอยู่มีกินตามสมควรแก่อัตภาพแต่สิ่งที่ทำให้ฉันแปลกไปกว่าเด็กอื่นในวัยเดียวกันที่ฉันรู้จักคุ้นเคยก็ตรงที่เด็กอื่นนั้นหากจนก็จะจนไปเลยหรือรวยก็รวยไปเลย ฉันจึงมีประสบการณ์ทั้งในภาคที่เกี่ยวข้องความยากจน ขาดแคลน ผสมผสานกับความมั่งมีและความสะดวกสบายต่าง ๆ ดังจะทยอยเล่าต่อไป

ฉันเติบโตมาในละแวกวัดมหรรณ์ ถนนตะนาว ใกล้กับศาลเจ้าพ่อเสือ บ้านที่อยู่เป็นบ้านไม้สองชั้น ปลูกอยู่หลังตึกแถวซึ่งอยู่ติดถนนตะนาวตรงข้ามวัด เป็นบ้านเช่าของทรัพย์สินฯเสียค่าเช่าเป็นรายปี บุคคลในครอบครัวฉันส่วนใหญ่เป็นญาติข้างแม่ ส่วนพ่อซึ่งฉันถูกสอนให้เรียกว่า “ป๋า” มาตั้งแต่จำความได้นั้นเป็นจีนกวางตุ้งรุ่นที่สองเนื่องจากป๋าเกิดและเติบโตในเมืองไทย เท่าที่ได้รับการบอกเล่า ก๋ง หรือพ่อของป๋านั้นชื่อ ท้อ แซ่หว่อง อพยพมาจากเมืองจีนพร้อมด้วยฝีมือในการทำอาหารกวางตุ้งประเภทบะหมี่ เกี้ยว หมูแดง เป็ดย่างและอะไรเทือกนั้น จึงได้เปิดร้านขายอาหารอยู่แถวถนนดินสอ ก๋งกับย่าชื่อ "ยี่" มีลูกด้วยกัน 3 คน ป๋าเป็นคนที่ 2 ส่วนพี่สาวของป๋านั้นเสียชีวิตตั้งแต่อายุ 15-16 คงเหลือเพียง ป๋า กับน้องสาวคนสุดท้องชื่อ "งะ" แต่ฉันรู้จักในชื่อไทยว่าอายุพิน ต่อมาก๋งได้เมียน้อยเป็นคนไทยและมีลูกด้วยกันอีกถึง 15 คน เท่าที่ทราบ ก๋งหลงเมียน้อยคนนี้เป็นอย่างมากทำให้ชีวิตของป๋า อายุพิน และ ย่า เป็นไปด้วยความรันทดจนถึงขั้นที่ ย่า ตรอมใจตายตามพี่สาวไปเมื่อป๋าอายุย่างเข้ารุ่นหนุ่ม แม้ว่าก๋งจะเป็นคนจีนรุ่นเก่าแต่ก็นับว่าเป็นคนมองกาลไกล ยอมรับฟังเหตุผลของลูกชายคนโตที่ยืนยันหัวเด็ดตีนขาดว่าไม่ต้องการที่จะสืบทอดการขายบะหมี่เกี๋ยวจากก๋งแต่ต้องการจะเป็นเสมียนทำงานห้างและยอมส่งเสียให้ป๋าเรียนหนังสือในโรงเรียนฝรั่งซึ่งถือว่าเป็นโรงเรียนที่ดีและต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงมากในสมัยนั้นจนจบม. 8
ป๋าเป็น “เด็กเรียน” มีความมานะอุตสาหะอย่างยิ่ง ผลการเรียนอยู่ในเกณฑ์ดีเสมอมา ฉันเคยเห็นสมุดงานที่ป๋าเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีต้องยอมรับว่าป๋าเป็นเด็กที่มีความอุตสาหะสนใจเรียนมาก สมุดจดงานทุกเล่มป๋าจะเขียนด้วยลายมือที่ประณีต บรรจงอ่านง่ายทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ นอกจากนี้ยังมีรูปประกอบต่าง ๆ ที่ป๋าวาดไว้อย่างสวยงามตัวเองทั้งสิ้น ในช่วงที่ป๋าเรียนหนังสือนั้น ชีวิตมิได้สบายเหมือนเด็กร่วมชั้นเรียนคนอื่น ๆ ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นลูกผู้ดีมีสกุล ป๋าต้องช่วยงานบ้านหลังจากเลิกเรียนและก่อนไปโรงเรียนซึ่งถือเป็นงานหนัก เงินทองก็ไม่ได้รับสม่ำเสมอบางวันก็ไม่มีเงินซื้อข้าวกินต้องหิ้วท้องกลับมากินที่บ้าน กระนั้นก็ตามป๋ายังมีความสามารถในการอดออมจนสามารถซื้อของใช้และของเล่นที่ตนอยากได้ด้วยตัวเองเสมอมิต้องออกปากขอสตางค์จากใคร

จากสภาพแวดล้อมและความจำเป็นเหล่านั้น ทำให้ป๋าเป็นคนรู้ค่าของเงินและระมัดระวังเกี่ยวกับการใช้จ่ายจนเป็นนิสัย ฉันจึงได้ยินแม่และญาติข้างแม่ให้คำนิยามแก่ป๋าว่าเป็น “คนงก” ส่วนอายุพินนั้นเป็นลูกสาวจึงไม่ได้รับความสนอกสนใจหรือมีโอกาสเล่าเรียน ได้แต่วิ่งเล่นซนไปวัน ๆ และมีหน้าที่คอยช่วยเหลืองานต่าง ๆ ในบ้านตั้งแต่เด็กจนย่างเข้ารุ่นสาว เมื่อป๋าเรียนจบและหางานทำได้ในห้างญี่ปุ่นเนื่องจากรู้ภาษาอังกฤษอายุพินจึงได้ย้ายออกมาอยู่กับป๋าโดยทำหน้าที่แม่บ้านดูแลป๋าทุกอย่าง ต่อมาป๋าได้ส่งให้อายุพินไปเรียนวิชาทำผมจากร้านทำผมชื่อดังในสมัยนั้นชื่อร้าง "อาดำ" อายุพินจึงมีวิชาทำผมติดตัวใช้ทำมาหากินมาตั้งแต่สาวยันแก่ มีเงินพอกินพอใช้มิได้ร่ำรวยแต่อย่างใด อายุพินเป็นญาติผู้ใหญ่คนเดียวที่ฉันเฝ้ารอเมื่อถึงเทศกาลตรุษจีนเนื่องจากอาจะมาร่วมไหว้เจ้าและไหว้บรรพบุรุษซึ่งป๋าจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี คำว่าป๋าจัดขึ้นนี้ต้องเข้าใจว่า ป๋าเป็นคนจ่ายสตางค์ ส่วมแม่เป็นคนทำทุกอย่างตั้งแต่การซื้อของ พับกระดาษเงินกระดาษทอง ไปจนถึงการต้มและทำข้าวมันไก่และกับข้าวแสนอร่อยอื่น ๆ เมื่อไหว้เจ้าเสร็จก็จะมีการกินข้าวเหลือเจ้าเป็นข้าวมื้อใหญ่ซึ่งอุดมไปด้วยหมูเห็ดเป็ดไก่ หลังจากนั้นจะเป็นการแจกสตางค์ ป๋านั้นให้เป็นพิธี ส่วนอายุพินนั้นให้แบบคนมือหนัก จำได้ว่าฉันเคยได้มากถึง 20 บาทซึ่งถ้าเทียบกับสมัยนี้คงประมาณ 2 พัน ขณะที่เริ่มเขียนหนังสือนี้ อาว์ยุพินมีอายุ 70 กว่าปี ยังแข็งแรงไปไหนมาไหนโดยรถเมล์เพียงลำพังคนเดียว ณ บ้านเช่าซึ่งอยู่มาตั้งแต่สาวยันแก่แถว ๆ เทเวศน์ ฉันเพียรชวนมาอยู่ด้วยหลายครั้งแต่อายุพินก็บ่ายเบี่ยงเรื่อยมา ทุกครั้งที่เจอกันฉันจะเอาเงินใส่มือแกทีละพันและจะได้เห็นน้ำตาอาไหลเป็นทางทุกทีไป

นอกจากป๋า แม่ และ อายุพิน ซึ่งเป็นญาติข้างพ่อเพียงคนเดียวซึ่งฉันเคยพบขณะที่มีชิวิตอยู่แล้ว ที่เหลือล้วนเป็นญาติข้างแม่ซึ่งเป็นไทยแท้ทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้เอง ฉันจึงเสียโอกาสเรื่องภาษาคือแทนที่จะพูดภาษาจีนกวางตุ้งได้อีกภาษาหนึ่งกลับพูดไม่ได้เลยเพราะเกิดและโตมาท่ามกลางคนไทยทั้งสิ้น คนที่ฉันมีความเคารพและพูกพันมากที่สุดคือ ยาย ยายมีชื่อจริงว่า นางทองอยู่ นามสกุลเดิม ณ บางช้าง ต่อเมื่อได้แต่งงานอยู่กินกับคุณตาจึงเปลี่ยนนามสกุลมาเป็นกลางสุข เมื่อจำความได้ ยายก็แก่แล้ว แต่ก็เป็นหญิงแก่ที่ใจดีที่สุดในทัศนะของเด็กอย่างฉัน ยายได้รับมอบหมายจากแม่ให้เป็นผู้ควบคุมพี่เลี้ยงซึ่งก็คือน้องสาวสองคนของแม่ซึ่งล้วนมีความผูกพันแน่แฟ้นกับฉันประกอบด้วย น้าแดง และ น้าอู๊ด คนที่มีกรรมร่วมกับฉันมากที่สุดน่าจะเป็น น้าแดง ที่ต้องรับภาระในเลี้ยงดูฉันตั้งแต่การอุ้มไปเที่ยว ป้อนข้าว ป้อนน้ำ อาบน้ำ พานอน และอื่น ๆ เมื่อฉันเกิดอารมณ์เสียร้องไห้ขึ้นมาให้ยายได้ยิน น้าแดง เป็นต้องถูกยายตีทันทีโดยไม่มีการถามถึงเหตุผล ดังนั้นเมือลับตาคน ฉันจึงถูกน้าแดงแก้แค้นเอาเสมอมา วิธีแก้แค้นซึ่งน้าแดงมาเล่าให้ฉันฟังในภายหลังคือการจับฉันกระแทกกับเอว การอุ้มเด็กในสมัยก่อนเป็นการอุ้มแบบที่เรียกว่า “อุ้มเข้ากะเอว” ซึ่งบรรยายกรรมวิธีและลักษณะท่าทางได้ชัดเจน สถานที่อุ้มไปเที่ยวนั้นก็ไม่มีกำหนดแน่นอนแต่ส่วนใหญ่เมื่อฉันร้องไห้ขึ้นมา น้าแดงจะรีบอุ้มฉันเข้ากะเอวแล้ววิ่งออกนอกบ้านโดยไร้จุดหมาย สิ่งสำคัญคือต้องรีบออกไปนอกบ้านให้เร็วที่สุดเพื่อป้องกันไม่ให้ยายได้ยินเสียงร้องของฉัน ส่วนน้าอู๊ดนั้นไม่ต้องผ่านวิบากกรรมกับฉันมากเท่าน้าแดงเนื่องจากมีโอกาสได้เรียนหนังสือจนจบ ม.6 แล้วจึงเริ่มมาสนิทกับฉันเมื่อฉันอายุเข้าสิบกว่าขวบเนื่องจากน้าอู๊ดและฉันมีวัยที่ไม่ห่างกันมากนัก หลังจากฉันเข้าเรียนตั้งแต่ชั้นมูลจนถึงชั้นประถม 3 หรือ 4 น้าแดงก็เป็นสาวแต่งงานออกเรือนไป น้าอู๊ดจึงเริ่มได้รับการมอบหมายให้ดูแลฉันซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการไปส่งและรอรับกลับจากโรงเรียนที่อยู่ห่างจากบ้านไปไม่มากนัก

จากคุณ : แมงกระพรุน - [16 เม.ย. 45 11:14:45]

http://pantip.inet.co.th/cafe/writer/topic/W1436965/W1436965.html

ความคิดเห็นที่ 1
อุ้มเข้ากะเอวนึกออกครับ เป็นท่ามาตรฐานในการอุ้มเด็กแบบหนึ่ง
จากคุณ : GTW - [16 เม.ย. 45 12:04:43]

ความคิดเห็นที่ 2
อุ้มเด็กมะเปน T-T
จากคุณ : Licht (Miran) [16 เม.ย. 45 18:51:50

ไม่มีความคิดเห็น: