วันอังคาร, กรกฎาคม 22, 2551

เรื่องของฉัน ตอนที่ 5


ตอนที่ 5

แม่ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้หญิงใจนักเลง คนในละแวกบ้านรู้ดีและน้อยคนนักที่จะหาญมามีเรื่องผิดใจกับแม่ เพราะหากใครมีเรื่องกับแม่ถือว่าโชคร้าย เริ่มตั้งแต่ขั้นเบา ๆ คือยืนชี้หน้าด่ากัน แม่ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นแชมป์ด่าสามารถสรรหาคำด่ามาด่าคู่ต่อสู้ได้เป็นชั่วโมงโดยที่คำด่านั้นจะไม่ซ้ำกันเลยหรือหากการวิวาทนั้นเพิ่มความรุนแรงถึงขั้นลงมือลงไม้ (ไม่บ่อยนัก ส่วนใหญ่นิยมด่ากันจนหมดแรงแล้วเลิกรากันไปเอง) แม่ก็ไม่เคยแพ้ใครอีกเช่นกัน คู่ด่าในสมัยนั้นล้วนเป็นผู้หญิง ขั้นตอนในการด่าจะคล้ายคลึงกับลีลาของแมวกัดกันคือเริ่มจากการด่ากันด้วยเสียงเบา ๆ ก่อน แล้วค่อย ๆ เปล่งเสียงให้ดังขึ้น ใครที่สามารถเปล่งเสียงด่าให้ดังกว่าคู่ต่อสู้ถือว่าได้เปรียบไปกว่าครึ่งแบบที่เรียกว่าเอาเสียงเข้าข่ม นอกจากคู่ด่าเองแล้วยังมีกองเชียร์ของแต่ละฝ่ายและพวกเด็ก ๆ ที่พากันหยุดเล่นสนุกมาเฝ้าดูรอผลแพ้ชนะกันเป็นกลุ่มใหญ่จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่คู่ด่ามักจะเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ จากกองเชียร์ที่ถือหางแต่ละฝ่ายจนกลายเป็นการด่าหมู่ก็มีให้เห็นอยู่เสมอ ๆ

การเล่นสนุกของแม่นั้น นอกจากการเล่นไพ่ผสมสิบ รัมมี่ ไพ่ตอง ไพ่เผ หรือ กบดำกบแดงเป็นเกณฑ์แล้ว ยังมีอีกอย่างคือการเล่นขายของ เช่นขนมครก ข้าวแกง หรือ ก๋วยเตี๋ยว ซึ่งแม่นิยมเล่นเป็นพัก ๆ เข้าใจว่าเป็นกาลเล่นบังหน้าเพื่อขอเงินทุนจากป๋า เมื่อได้ทุนมาก็ทำของขายพอเป็นพิธีสักสองสามวันก็เลิก เงินทุนที่ป๋าให้มาก็จะมีเหลือพอเอาไปลงทุนต่อในวงไพ่ซึ่งมีทั้งได้และเสียสลับกันไป บางครั้งแม่ก็เล่นไพ่แบบติดลม กล่าวคือเล่นแบบต่อเนื่องข้ามวันข้ามคืน ป๋ากลับบ้านมาไม่มีข้าวกินต้องพาฉันออกตะลอนหาข้าวกินนอกบ้านก็มี เมื่อป๋าเห็นว่าแม่ผีเข้าเล่นไพ่ไม่ยอมเลิกหนักเข้าก็แอบไปแจ้งตำรวจให้มารวบวงไพ่ แต่ส่วนใหญ่เมื่อตำรวจมามักจับขาไพ่ไม่ค่อยได้เนื่องจากมีการวางสายดูต้นทางกันเป็นอย่างดีโดยเจ้าของบ้านที่เปิดเป็นบ่อนและเก็บค่าบริการหรือที่เรียกว่า “ค่าต๋ง” เป็นคนดำเนินการ ฉันและพวกเด็ก ๆ ชอบดูนักเวลาตำรวจแอบบุกถึงวงไพ่และขาไพ่ตกอยู่ในอาการที่เรียกว่า “วงแตก” ต่างคนต่างวิ่งหนีกันอลหม่าน บางคนหกล้มหกลุก มุกที่ใช้กันมากคือการวิ่งเข้าห้องน้ำทำเป็นถ่ายทุกข์ หรืออาบน้ำและสิ่งที่เห็นกันจนชินตาคือขาไพ่มักจะอาบน้ำโดยไม่ถอดเสื้อผ้า เท่าที่จำได้ แม่เคยถูกจับเพียง 2-3 ครั้งและทุกครั้งป๋าก็ต้องเดือดร้อนไปประกันตัวแม่ออกมาแม้ว่าที่แรกจะทำปากแข็งว่าจะไม่ไปประกันก็ตาม

เข้าใจว่านิสัยการเสี่ยงโชคในวงไพ่นี้ แม่คงได้รับการถ่ายทอดมาจากยาย เนื่องจากยายเมื่อตอนเป็นสาวก็ถือได้ว่าเป็นเซียนไพ่คนหนึ่ง นอกจากแม่แล้วก็คงเป็นน้าแดงที่เล่นไพ่ได้เก่งโดยเฉพาะไพ่รัมมี่ ป้าพักตร์นั้นฉันไม่เคยเห็นเล่นไพ่ ส่วนน้าอู๊ดนั้นเห็นเล่นไพ่เหมือนกันแต่จะเป็นไพ่เด็ก ๆ เช่นอีแก่กินน้ำ ไพ่คู่ หรือไพ่โกย เป็นต้น ฉันเล่นไพ่พวกนี้เป็นก็มีน้าอู๊ดเป็นคนสอนนั่นเอง

ตรงกันข้ามกับแม่ ป๋าเป็นคนที่มีความชื่นชมฉันอย่างหนัก เนื่องจากฉันเป็นลูกคนแรกและยังเป็นลูกผู้ชายเข้าประเพณีนิยมของคนจีนพอดี ลงทุนตั้งชื่อให้ฉันเป็นภาษากวางตุ้งว่า “ซิวโป้โป๋” ซึ่งแปลว่าลูกเทวดาหรืออะไรนี่แหล่ะ ต่อมาคนเห็นว่าเรียกยากนักจึงย่อเหลือเพียง “นายโป๋” ในวัยเด็กอาจจะเรียกได้ว่าฉันเป็นเด็กที่ถูกถ่ายรูปมากที่สุดเนื่องจากป๋าเป็นคนชอบถ่ายรูปฉันจึงมีรูปถ่ายในอิริยาบทต่าง ๆ มากมายตั้งแต่แรกเกิดจนโตเป็นวัยรุ่น สมัยนั้นรูปถ่ายเป็นรูปขาวดำ ขนาดก็ไม่ใหญ่นัก เมื่อล้างอัดมาแล้วก็จะนำเข้าเก็บไว้ใน อัลบั้ม โดยใช้แหนบยึดรูปซึ่งมีรูปร่างคล้าย ๆ บั้งทหาร ด้านหลังเป็นกาวยึดมุมทั้งสี่ของรูปถ่ายแต่ละรูปไว้ติดกับหน้าอัลบั้มอีกทีหนึ่ง แม่ก็เลี้ยงดูฉันมาภายใต้ความช่วยเหลือและแนะนำของยายเด็กสมัยนั้นส่วนใหญ่ล้วนกินนมแม่เนื่องจากนมผงยังไม่แพร่หลายและมีราคาแพง ต่อมาเมื่อฉันเริ่มคลานแม่ก็เริ่มเบื่อที่จะเลี้ยงฉันติดตัวเนื่องจากไม่สามารถไป “เล่นสนุก” ตามใจชอบได้ ยายจึงต้องรับภาระในการเลี้ยงดูฉันซึ่งเป็นงานที่หนักจึงทำให้ยายต้องเกณฑ์น้าแดงมาทำหน้าที่พี่เลี้ยงของฉันแบบเต็มเวลาอีกคนหนึ่ง

ในช่วงชีวิตวัยเด็กเล็ก ฉันเป็นเด็กที่ขี้โรคและเลี้ยงยาก มียายคอยทะนุทะนอมเอาใจฉันอย่างสุดขีดทำให้ฉันมีนิสัยไม่ดีติดมาอย่างหนึ่งคือการเป็นคน “กินยาก” และจะไม่ยอมกินผักทุกชนิดด้วยเหตุที่ยายอ้างกับคนอื่น ๆ กินผักแล้วจะติดคอ ฉันจึงกลายเป็นคนไม่กินผัก ต่อมาจนฉันโตขึ้นจนพอจำความได้ก็เกิดเหตุ “ก้างปลาทูติดคอนายโป๋” จนโกลาหนกันไปทั้งบ้านฉันจึงเลิกกินปลาไปอีกอย่างหนึ่ง จนกระทั่งฉันเกือบจะห้าสิบอยู่ร่อมร่อนี่แหล่ะจึงเริ่มหันมาหัดกินผักอีกครั้ง จนถึงทุกวันนี้กินผักเป็นหลายชนิดแล้ว ส่วนปลาซึ่งรวมไปถึงอาหารทะเลทุกชนิดนั้นนั้น หากไม่จำเป็นจริง ๆ หรือเลือกได้ก็จะไม่ยอมกินอยู่จนทุกวันนี้ ในความเห็นของฉันนอกจากจะต้องเสี่ยงกับก้างแล้ว ปลาส่วนใหญ่ยังเหม็นคาวมากอีกด้วย เรื่องการไม่กินปลาหรืออาหารทะเลนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่สำหรับคนอื่นที่มักจะพากันเดือดร้อนเค้นถามเหตุผลเอาจากฉันอยู่เสมอ ทีแรก ๆ ฉันก็สรรหาเหตุผลมาตอบให้เขายอมรับได้บ้างไม่ยอมรับได้บ้าง ต่อมาจึงพบเหตุผลสั้น ๆ และกินใจ ตอบที่ไรคนถามเงียบไปทันที คำตอบนั้นคือ “กินแล้วแพ้” แต่ก็มีพวกตื้อครองโลกอีกเหมือนกันที่ไม่ยอมหยุด ถามต่อมาว่า “แพ้อะไร” มาถึงตรงนี้ถือว่าเข้าทาง ฉันจะตอบไปแบบสะใจในทันที่ว่า “แพ้ความแพง”

เมื่อฉันจำความได้ ป๋าก็เก็บสตางค์ได้มากพอที่จะซื้อรถยนต์คันแรก เป็นรถยี่ห้อ ฟอร์ด รุ่น พรีเฟกค์ เรียกรวม ๆ กันว่า ฟอร์ดพรีเฟกค์ ซึ่งในความเห็นของฉันเป็นรถยนต์ที่เท่ห์หนักหนา รถยนต์ในสมัยนั้นล้วนเป็นรถนำเข้าจากยุโรปเนื่องจากญี่ปุ่นยังทำรถยนต์ไม่เป็น แต่ละคันล้วนมีเอกลักษณ์จากการประกอบที่ประณีตแม้ว่าเครื่องอำนวยความสะดวกไม่มีมากเหมือนรถยนต์ในสมัยนี้ก็ตาม สิ่งที่ฉันชื่นชอบและจดจำได้จนถึงวันนี้คือไฟเลี้ยว สวิตช์เปิดไฟเลี้ยวของรถคันนี้อยู่บนแป้นพวงมาลัย เมื่อโยกไฟเลี้ยวจะมีธงคันเล็กๆซึ่งมีไฟกระพริบสีเหลืองยื่นออกมา ธงนี้เมื่อไม่ใช้ถูกซ่อนไว้ข้างเสาแบ่งครึ่งระหว่างประตูหน้ากับประตูหลังอย่างแนบเนียน ฉันเชื่อว่าป๋าก็ภาคภูมิใจในรถคันนี้ซึ่งได้มาจากน้ำพักน้ำแรงของตนเองไม่น้อยไปกว่าฉัน ทุกครั้งที่มีเวลาว่าง ป๋าจึงมักพาครอบครัวคือแม่และฉันไป “ขับรถเล่น” อยู่เสมอ สมัยนั้นการขับรถเล่นเป็นที่นิยมของผู้มีอันจะกินเนื่องจากยังไม่มีรถรามากมายเหมือนสมัยนี้ คำว่ารถติดยังไม่เคยมีคนรู้จักถนนที่ฉันชื่นชมมากที่สุดคือถนนราชดำเนินเนื่องจากความกว้างใหญ่ของตัวถนนและ “ตัวนก” ซึ่งเกาะอยู่บนยอดเสาไฟฟ้าถือโคมไฟคอยส่องถนนยามค่ำคืน ต่อมาเมื่อฉันโตขึ้นจนพอใช้งานได้ ความชื่นชมที่ฉันมีในรถคันแรกของป๋าก็มลายหายไปจนเกือบหมดเนื่องจากฉันได้รับมอบหมายให้เป็นผู้เช็ดรถทุกเย็นเมื่อป๋ากลับจากทำงาน บ้านที่ฉันอยู่นั้นนำรถเข้ามาจอดไม่ได้ ป๋าจึงต้องไปเช่าที่จอดหน้าแพร่งนาราซึ่งอยู่ห่างบ้านฉันไปประมาณ 1 กิโลเมตร เมื่อกลับจากทำงาน ป๋าจะจอดรถไว้ที่น่าวัดมหรรณ์ฯ เพื่อให้ฉันนำน้ำใส่ถังพร้อมแปรงขนไก่ ผ้าเช็ดรถ ขวดน้ำมันก๊าดและแปรงลวดซึ่งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานสำหรับเช็ดรถออกไปเช็ดรถริมถนนนั่นเอง ขั้นตอนการเช็ดรถคือต้องผสมน้ำมันก๊าดกับน้ำให้พอเหมาะเพื่อให้เช็ดแล้วสีรถจะเป็นมันแวววาว กลิ่นน้ำมันก๊าดนี้จะติดมือไปหลายวัน ใช้แปรงขนไก่ปัดฝุ่นให้ทั่วคันแล้วจึงเอาผ้าชุบน้ำเช็ดจนทั่วจากนั้นคือการเช็ดด้วยผ้าอีกผืนหนึ่งจนแห้ง แล้วจึงเช็ดภายในตัวรถด้วยกรรมวิธีเดียวกัน ปิดท้ายด้วยการล้างล้อด้วยน้ำที่เหลือขัดด้วยแปรงลวดกว่าจะล้างเสร็จในแต่ละครั้งก็เหงื่อโทรมตัวทุกทีไป ด้วยเหตุนี้ เมื่อมีรถยนต์เป็นของตัวเอง ฉันจึงไม่เคยเช็ดรถด้วยตัวเองเลย

จากคุณ : แมงกะพรุน - [25 เม.ย. 45 05:29:18]

ความคิดเห็นที่ 1
ถึงอย่างไรก็เป็นครอบครัวที่อบอุ่นดีนะครับได้บรรยากาศเก่าๆดีมาก ชอบตอนที่บอกว่าทะเลาะเริ่มต้นเหมือนแมวกัดกันนี่นึกออกเลย ^_^ คือเริ่มจากแยกเขี้ยวเบาๆ จบลงด้วย เงี้ยวๆๆๆๆๆ.......กัดกันลั่นบ้าน 5555 ส่วนการใช้น้ำมันก๊าดกับน้ำเช็ครถนี่เป็นความรู้ใหม่สำหรับผมจริงๆ อยากอ่านต่อเร็วๆๆๆครับ.........กรุณา
จากคุณ : GTW - [25 เม.ย. 45 11:56:23]

ไม่มีความคิดเห็น: