วันจันทร์, กรกฎาคม 28, 2551

เรื่องของฉัน ตอนที่ 15


ตอนที่ 15

หลังจากย้ายมาอยู่ที่บ้านฝั่งธนได้ไม่นานแม่ก็ได้มี "คนใช้" หรือเด็กผู้หญิงที่ช่วยทำงานบ้านต่าง ๆ ด้วยพวกน้า ๆ ซึ่งเคยช่วยแม่ทำงานบ้านก็พากันแต่งงานแต่งการออกเรือนไปกันหมด แม่จึงกึ่งอ้อนกึ่งบังคับให้ป๋าจ่ายเงินเดือนคนใช้เป็นค่าใช้จ่ายประจำเดือนเพิ่มขึ้น ส่วนตัวคนใช้แม่ยืนยันหนักแน่นว่าจะเป็นผู้รับทำหน้าที่คัดเลือก สัมภาษณ์ จัดจ้าง และฝึกงานด้วยตัวเองห้ามมิให้ป๋าเข้ามายุ่งย่ามด้วยเป็นเด็ดขาด

คนใช้ที่บ้านเปลี่ยนหน้าเปลี่ยนตาไปหลายคนเนื่องจากแม่เป็นคนจู้จี้ปากร้าย ใครทำอะไรไม่ถูกใจมักถูกบ่นถูกว่าเป็นประจำ ทนไม่ได้ก็ลาออกไป บางคนอะไร ๆ ก็ดี เสียตรงที่รูปร่างหน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพราเกินไปหน่อย ป๋าจะเกิดอาการมือเท้าอ่อนแรงเรียกใช้ให้หยิบโน่นหยิบนี่จนบ่อยผิดสังเกต แม่ก็จะเกิดอาการมือไม้อ่อนไปด้วย วางข้าววางของด้วยเสียงที่ดังกว่าปกติทุกครั้งไป ไม่นานนักก็แม่จะเริ่มบ่นจะว่าและใช้งานเด็กคนนั้นมากกว่าปกติ จนในที่สุดมักจะทนไม่ได้ต้องลาออกไปมีอยู่หลายคนเหมือนกันที่ทนแม่ได้ อยู่ด้วยนานจนได้รับรางวัลเป็นวิชาทำกับข้าวอร่อย ๆ ติดตัวไปก็หลายคน ในบรรดาคนใช้นี้มีอยู่คนหนึ่งชื่อปทุม พวกเราเรียกย่อ ๆ ว่า "ยายทุม" เป็นเด็กรุ่นสาวแล้วอายุประมาณ 17-18 น่าตาพอดูได้คือไม่สวยแต่ก็ไม่ขี้เหร่ ยายทุมมักถูกฉันและน้าแดงแกล้งเอาบ่อย ๆ วิธีแกล้งยายทุมก็มีหลายวิธีเช่นแอบข้างประตูแล้วตะโกนด้วยเสียงอันดังเมื่อยายทุมเดินผ่านยายทุมจะตกใจและร้องอะไรตลก ๆ ออกมาไม่ซ้ำกัน หรือไม่ก็โยนจิ้งจกใส่ หรือเอาน้ำฉีด เป็นต้น ด้วยความที่ยายทุมเป็นคนอารมณ์ดีเมื่อถูกแกล้งก็ไม่เคยถือโกรธ มีบ่อยครั้งที่ทั้งคนแกล้งและคนถูกแกล้งลงนั่งหัวร่อกันจะหมดแรงไปตาม ๆ กัน

เรื่องที่ผู้หญิง ตกใจแล้วร้องอะไรแปลก ๆ ออกมานั้นสมัยที่ฉันยังเป็นเด็กมีให้พบเห็นอยู่ทั่วไป เรียกกันว่า "บ้าจี้" อาการบ้าจี้ของผู้หญิงในสมัยก่อนเป็นอะไรที่สนุกสนานครื้นเครงมากสำหรับทุกคนยกเว้นคนบ้าจี้ที่ถูกจี้ น่าเสียดายที่สมัยใหม่นี้ผู้หญิงไม่ค่อยบ้าจี้กันเสียแล้ว คำอุทานยอดนิยมเมื่อผู้หญิงตกใจเองหรือถูกทำให้ตกใจที่มักได้ยินกันจนเจนหูคือวลีว่า "ว้าย…ตาเถรตกใต้ถุน" หรือ "ว้าย..ตาเถรตก" ต่อมาคนบ้าจี้เห็นว่าคำอุทานนั้นยาวยืดเยื้อเสียเวลาในการอุทานนัก เลยย่อเหลือเพียง "ว้าย..ตาเถร" คำอุทานยอดนิยมอีกคำหนึ่งคือ "ว้าย..ฉีก" หรือ "อุ๊ย..ฉีก" หรือ "ฉีก" เฉย ๆ ส่วนที่ฉีกคืออะไรนั้นขอให้ผู้อ่านโปรดใช้จินตนาการอันบรรเจิดของแต่ละท่านคิดวาดภาพกันเอาเอง ที่ฉันเห็นว่าน่าเสียดายเป็นอย่างมากอีกอย่างหนึ่งก็คือ ผู้หญิงสมัยใหม่ไม่นิยมอุทานกันว่า "ว้าย" อีกต่อไปแล้ว จะมีก็เพียงพวก "ผู้ฉิง" เท่านั้นที่ยังคงร้องวี้ดว้ายกระตู้วู้กันอยู่ให้ครึกครื้นไป

ยายเมื่ออายุมากขึ้นก็กลายเป็นหญิงบ้าจี้ ใครไปจี้เอวแกหรือพูดอะไรด้วยเสียงดัง ๆ แกจะตกใจอุทานออกมาเป็นคำไทยโดด ๆ ที่หมายถึงอวัยวะเพศหญิงออกมาคำหนึ่ง ถ้าตกใจไม่มากก็จะออกเสียงเพียงสั้น ๆ แต่ถ้าตกใจมากยายจะลากเสียงคำที่ว่านี้อย่างยึดยาวแล้วจึงต่อท้ายด้วยประโยคแปลก ๆ ขึ้นอยู่กับว่าแกกำลังทำอะไรอยู่ขณะที่โดนจี้ จากนั้นก็จะลงนั่งหัวเราะกันจนน้ำหูน้ำตาไหล หัวเราะไปแหย่กันไปจนเหนื่อยจะขาดใจทั้งคนแหย่ คนถูกแหย่ และกองเชียร์

คนที่ชอบจี้ยายมากที่สุดคือน้าแดง คล้ายกับว่าแกเก็บกดที่ถูกยายตีมามากตอนเป็นเด็กเลยมาแก้แค้นเอาเมื่อตัวเองโตเป็นผู้ใหญ่และยายแก่หง่อมแล้ว แต่ที่โบราณว่ากรรมตามทันนั้นเป็นเรื่องจริง เพราะหลังจากที่น้าแดงจี้ยายเป็นที่สนุกครื้นเครงได้ไม่นาน น้าแดงก็กลับกลายเป็นคนบ้าจี้เสียไปเอง ทีนี้เลยสนุกกันไปใหญ่ พอแม่เผลอลูกสาวจี้แม่ พอลูกสาวเผลอ แม่จี้ลูกสาว

ดังที่เล่ามาแล้วในตอนต้นว่าน้าแดงเลิกกับลุงดม แต่ทั้งสองคนก็ยังคงคบหากันเสมือนเพื่อนสนิทเสมอมา หลังจากเลิกกับน้าแดงได้ไม่นาน ลุงดมก็ลาออกจากการเป็นทหารไปได้งานใหม่ทำเป็นหัวหน้าแผนกยานพาหนะขององค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยและทำงานอยู่ที่นั่นจนเกษียณอายุ ลุงดมมาอาศัยอยู่ที่บ้านฉันพักใหญ่เมื่อออกจากทหารใหม่ ๆ ด้วยต้องย้ายออกมาจากบ้านในกรมทหารและยังหาที่อยู่ใหม่ไม่ได้ ลุงดมเป็นครูคนแรกที่แอบสอนให้ฉันขับรถยนต์ สิ่งที่ยากที่สุดในการขับรถยนต์คือการเหยียบคลัช เปลี่ยนเกียร์ และเร่งเครื่องให้สัมพันธ์กัน หากไม่สัมพันธ์กันเครื่องยนต์จะกระตุกและดับไปในที่สุด ลุงดมฝึกให้ฉันโดยใช้วิธีที่ฉันเห็นว่าแยบยลนักด้วยการใช้แม่แรงยกล้อหลังด้านขวาของรถซึ่งเป็นล้อที่มีแรงขับทดโดยเฟืองจากเครื่องยนต์ให้พ้นพื้นเพื่อให้ล้อนั้นหมุนฟรีอยู่กับที่ จึงไม่ต้องห่วงว่ารถจะกระตุกไปชนกับอะไรเข้า รถคันที่ฉันใช้ฝึกขับก็คือรถฟอร์ดพรีเฟคที่ป๋าใช้ให้ฉันเช็ดถูมาตั้งแต่เด็กคันนั้นนั่นเอง เวลาจะหัดขับรถต้องนัดแนะกับลุงดมให้ดี หัดกันตอนเช้ามืดก่อนที่ป๋าจะตื่นมีบางครั้งที่ป๋าเห็นเข้าแกจะเก็บกุญแจรถไปซ่อนไว้ ทีนี้ต้องรอกันนานทีเดียว กว่าแกจะเผลอวางกุญแจไว้ให้หัดขับอีก

ลุงดมเป็นคนติดโทรทัศน์อย่างร้ายแรงโดยจะชื่นชอบหนังฝรั่งที่ฉายเป็นตอน ๆ และรายการถ่ายทอดการแข่งขันชกมวยไทยมากที่สุด เวลาที่แกดูหนังหรือดูมวยไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นแกจะไม่ยอมเคลื่อนตัวไปไหนอย่างเด็ดขาดจนกว่าหนังหรือมวยจะเลิก ที่ฉันชอบดูมากที่สุดเวลาที่โทรทัศน์มีการถ่ายทอดการแข่งขันชกมวยนั้นไม่ใช่รายการมวยที่ถ่ายทอด แต่จะเป็นกิริยาอาการของลุงดมเวลาที่มวยชกกัน ลุงดมจะต้องลุกขึ้นยืนออกท่าทางชกซ้ายชกขวาหรือไม่ก็ฟันศอกตีเข่าไปด้วยราวกับว่าตัวเองเป็นคนชกเสียเองเวลาที่หมดยกคั่นโฆษณาลุงดมจึงออกอาการเหนื่อยหอบไม่แพ้มวยที่ชกกันในทีวีเลยที่เดียว

ในช่วงที่ลุงดมมาพักอยู่ที่บ้านฉันนี้เองที่เริ่มสนิทชิดเชื้อกับยายทุมโดยมีน้าแดงเป็นแม่สื่อแม่ชักจนในที่สุดลุงดมก็ได้ยายทุมเป็นเมียแล้วย้ายไปอยู่กินด้วยกันที่บ้านเช่าแถว ๆ ซอยอ่อนนุชมีลูกกันอีกหลายคน จากนั้นลุงดมก็ขาดการติดต่อไปจนมาเสียชีวิตลงในปี 2539 ด้วยโรคมะเร็ง มียายทุมคู่เป็นทุกข์คอยประคบประหงมจนถึงวาระสุดท้าย

ส่วนยาย น้าอู๊ด และลุงนั้น ก็ได้ย้ายบ้านเช่าไปหลายแห่งเมื่อพระองค์เจ้าหญิงเจ้าของวังที่เคยอยู่แถวท่าพระอาทิตย์สิ้นชีพิตักษัยลง ในช่วงที่ฉันย้ายมาอยู่บ้านฝั่งธนฯ ยายก็มาได้บ้านเช่าที่วัดอยู่หลังวัดใหม่พิเรนท์เลยคลองเจริญพาศน์มาหน่อยและเลยบ้านฉันไปไม่ไกลนัก ด้วยเหตุที่ยายตัดสินใจเลิกขายข้าวแกงเพราะไม่มีทำเล ประกอบกับมีคนเข้ามารับอาสาส่งเสียค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในบ้านให้ ทั้งยายและน้าอู๊ดจึงมีเวลาว่างแวะมาเยี่ยมเยียนแม่และฉันเกือบทุกวัน ที่จำได้คือทั้งสองจะมีลูกชิ้นปิ้งเจ้าอร่อยติดมือมาฝากเกือบทุกครั้ง ต่อมาน้าแดงซึ่งหนีไปบวชชีอยู่พักใหญ่แล้วตัดสินใจสึกออกมาพร้อมกับพาพระมหาชื่อประทีบ ทั้งคู่ไปเช่าบ้านอยู่ใกล้ ๆ กันกับยายอีกรายหนึ่ง เมื่อฉันเป็นฝ่ายไปเยี่ยมยาย จึงได้แวะเยี่ยมน้าแดงไปพร้อม ๆ กันด้วย
น้าอู๊ดได้เรียนจนจบ มัธยมปีที่ 6 ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในบรรดาพี่น้องก็ไม่ได้เรียนต่อ จะเป็นด้วยโชคชะตาหรือพรหมลิขิตหรืออะไรก็แล้วแต่น้าอู๊ดได้พบกับเนื้อคู่ก่อนที่จะเรียนจบได้ไม่นานและได้อยู่กินกันมาอย่างราบรื่นจนถึงปัจจุบันนี้เป็นเวลากว่า 30 ปีแล้ว ฉันไม่รู้ว่าข้อตกลงของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้เป็นอย่างไรด้วยเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ แต่ "คุณสมนึก" ของน้าอู๊ดจะมาหาและอยู่กับน้าอู๊ดได้อาทิตย์ละ 1 วันคือวันเสาร์เท่านั้น โดยจะมาขลุกอยู่กับน้าอู๊ดตั้งแต่เช้าและจะกลับไป "บ้านใหญ่" หลังจากรับประทานอาหารเย็นแล้ว วันเสาร์จึงเป็นวันพิเศษของน้าอู๊ดและนิวเสมอมา ด้วยจะเป็นวันที่พ่อแม่ลูกได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน เป็นโลกของคนทั้งสามคนที่ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถจะเข้ามารุกล้ำก้ำเกินได้

แม้ว่าฉันจะไม่มีโอกาสได้สนิทสนมกับคุณสมนึกของน้าอู๊ดมากมายนัก แต่ฉันก็เห็นว่าคุณสมนึกเป็นคนที่ดีมีความรับผิดชอบสูงและเป็นคนเสมอต้นเสมอปลายกับทั้งผู้คนที่บ้านใหญ่และน้าอู๊ดที่ได้ชื่อว่าเป็น "บ้านเล็ก" เสมอมาไม่เคยขาดตกบกพร่อง เรื่องวันเสาร์เข้าเวรของน้าอู๊ดจึงเป็นที่รู้กันอยู่ทั่วไป ใครอย่ามาชวนไปไหนในวันเสาร์น้าอู๊ดจะไม่ยอมไปด้วยเป็นเด็ดขาดน้าอู๊ด กับ "คุณสมนึก" มีลูกผู้ชายด้วยกันคนหนึ่งชื่อ "นิว" เพราะเป็นลูกของน้าจึงมีศักดิ์เป็นน้องของฉันแม้ว่าจะมีอายุเท่า ๆ กับลูกชายคนโตของฉันก็ตาม นิวคลอเคลียใกล้ชิดและมีเวลาอยู่กับแม่มากกว่าคุณสมนึกจึงกลายเป็นคู่คิดมิตรแท้ของน้าอู๊ดมาตั้งแต่เด็กจนเป็นหนุ่มเป็นแม่ลูกที่ติดกันมากคู่หนึ่งที่ฉันเคยเห็นมา นิวเรียนเก่งตั้งแต่เด็กจนจบวิศวะ

จากคุณ : แมงกะพรุน - [17 พ.ค. 45 05:14:11]

ความคิดเห็นที่ 1
คำอุทานน่าหวาดเสียวจังค่ะ
จากคุณ : 3P (คลีเมนไทน์) - [17 พ.ค. 45 09:59:20]

ความคิดเห็นที่ 2
คุณแมงกะพรุน ครับ ทำมั้ย ไม่ มี รูป มา ให้ ดู อีก ล่ะ ครับ อยาก ดู รูป เก่า ๆ ปล. ขอบ คุณ ที่ มี เรื่อง ให้ อ่าน ประ จำ ผม เก็บ ไป อ่าน ใน PDA เวลา ว่าง ๆ
จากคุณ : Natty - [17 พ.ค. 45 10:57:30]

ความคิดเห็นที่ 3
พักนี้คนไม่ค่อยบ้าจี้แล้วล่ะครับไม่ค่อยเจอเลยอาจเป็นเพราะมลภาวะทางเศรษฐกิจและสังคมก็ไม่รู้
จากคุณ : GTW - [17 พ.ค. 45 18:28:34]

ความคิดเห็นที่ 4
คำอุทานประจำตัวตอนนี้ คือ ไอ้หยา ค่ะ อิอิ
จากคุณ : O-HO - [17 พ.ค. 45 18:59:47]

ความคิดเห็นที่ 5
คุณแมงกะพรุนครับ เรื่องที่คุณเขียนมานี้น่าจะประมาณ ไม่น้อยกว่า 50 ปี เห็นรูปคุณตอนเด็กๆๆ แล้ว ตอนนี้ยังเหมือนตอนเด็กหรือเปล่าครับ แต่ยอมรับว่า เรื่องราวทีคุณเขียนทำให้ผมได้เห็น/รู้ถึงสิ่งบางสิ่งที่ไม่เคยได้ยินมาครับ ผมคงได้อ่านอีกนานนะครับ ขอบคุณที่ย้อนเรื่องประวัติศาสตร์ให้รู้

จากคุณ : ทอม - [18 พ.ค. 45 10:05:37]

ไม่มีความคิดเห็น: