วันจันทร์, กรกฎาคม 28, 2551

เรื่องของฉัน ตอนที่ 14


ตอนที่ 14

ในช่วงจังหวะเดียวกันก็เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่บ้าน คือป๋าในฐานะผู้เช่าได้รับแจ้งจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นเจ้าของที่ว่าต้องการบ้านคืน ผลคือป๋าต้องหาที่อยู่ใหม่ คราวนี้เป็นการย้ายบ้านครั้งแรกในชีวิตของฉัน ป๋าหาบ้านเช่าแห่งใหม่ได้แถวถนนจรัลสนิทวงศ์ อยู่ตรงข้ามอู่รถเมล์ “ไทยประดิษฐ์” ย่านบางพลัด ฝั่งธนบุรีปลูกอยู่ในท่ามกลางสวนหมากและกระท้อน สมัยนั้นถนนจรัลสนิทวงศ์เป็นเพียงถนนราดยางมะตอยเล็ก ๆ รถวิ่งไปทางมาทางมิได้กว้างใหญ่ดังเช่นในปัจจุบัน สองข้างถนนยังเป็นคลองมีสะพานไม้ให้รถข้ามเข้าซอยแยกซึ่งมีชื่อไพเราะยังไม่เรียกเป็นเบอร์เหมือนทุกวันนี้ บ้านหลังใหม่ของฉันเป็นบ้านไม้สองชั้นไม่ได้ทาสีมีเรือนครัวแยกต่างหากจากตัวบ้านมีรั้วรอบขอบชิด ตั้งอยู่ในซอยวิมลสรกิจ ที่ฉันชอบใจมากคืนฉันได้มีห้องที่เป็นห้องส่วนตัวของตัวเองที่นี่ไม่ต้องนอนรวมในห้องนอนรวมกับคนอื่น ๆ อีกต่อไป ครั้งแรกที่เข้าไปเช่าอยู่เจ้าของบ้านคิดค่าเช่าเดือนละ 600 บาท จำไม่ได้แน่นอนเสียแล้วว่าอยู่บ้านนี้กี่ปี แต่มีบันทึกไว้ว่าครั้งสุดท้ายประมาณมี 2515 เจ้าของบ้านขอขึ้นค่าเช่าเป็น 1,000 บาทต่อเดือน

เมื่อย้ายมาอยู่บ้านหลังใหม่ ฉันเริ่มมีอายุย่างเข้าวัยรุ่น ป๋าซื้อกีตาร์เล็ก ๆ ซึ่งฉันใฝ่ฝันอยากได้รบเร้าให้ป๋าซื้อให้มานานพอ ๆ กับของเล่นที่เรียกว่า "ฮูล่าฮุป" ให้ตัวหนึ่ง ฉันได้แค่กีตาร์ ส่วนฮูล่าฮุปป๋าไม่ยอมซื้อให้สักที ที่น่าแปลกคือจนถึงทุกวันนี้ที่ฉันอยู่ในฐานะที่จะซื้อ ฮูล่าฮุป สักกี่อันก็ได้แต่ฉันก็ไม่เคยคิดที่จะซื้อมันแต่อย่างใด เช่นเดียวกับความใฝ่ฝันอย่างแรกกล้าที่จะมีกีตาร์ไฟฟ้าเป็นของตัวเองเมื่อวัยเด็ก แม้ว่าทุกวันนี้ฉันเป็นต้องแวะไปที่แผนกเครื่องดนตรีในดีพาร์ทเมนท์สโตร์เพื่อไปเดินลูบคลำกีตาร์ไฟฟ้าที่เขาแขวนโชว์ไว้ทุกครั้งที่มีโอกาสแต่กลับไม่เคยคิดที่จะซื้อมันเช่นกัน ความปรารถนา ความต้องการของคนนั้น มีกาลเวลาและสถานการณ์เป็นปัจจัย

พอได้กีตาร์มาฉันก็บ้ากีตาร์อย่างหนัก หัดเล่นด้วยตัวเองจนนิ้วพองแล้วแตก แตกแล้วพองใหม่ไม่รู้กี่รอบ จนสามารถเล่นคอร์ตง่าย ๆ ได้ครบชุด สมัยนั้นมีหนังสือเพลงขายเหมือนกัน จำชื่อได้ว่า "ไอ.เอส.ซองฮิต" มีทั้งเนื้อเพลงและคอร์ตกีตาร์ แต่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคอร์ตที่จับยากและไม่คุ้นเคย ไม่เหมือนคอร์ตที่เด็ก ๆ ที่แกะหรือต่อให้กันเองซึ่งแม้ว่าจะผิดเพี้ยนคีย์ไปบ้าง แต่ก็ตีได้ง่ายกว่าคอร์ตแปลก ๆ ที่ลงในหนังสือเพลงที่ว่า ต่อมาฉันกับเพื่อน ๆ รวมกันได้สี่คนเป็นวงดนตรีแบบที่เรียกกันในสมัยนั้นว่า "วงชาโดว์" รวมสตางค์กันได้จนครบเพื่อไปเรียนดนตรีที่โรงเรียนสอนดนตรีแห่งหนึ่งแถวถนนวงเวียนเล็ก โรงเรียนดนตรีแห่งนี้ไม่สอนตัวโน๊ต แต่จะแบ่งพื้นที่เป็นห้องซ้อมเก็บเสียงสองหรือสามห้อง แต่ละห้องมีกีตาร์ไฟฟ้าพร้อมเครื่องแอมปริฟายให้สามตัว เป็นกีตาร์เมโลดี้ กีตาร์คอรต์ และกีตาร์เบส อย่างละตัว และมีกลองหนึ่งชุด นักเรียนที่มาเรียนจะเลือกเพลงบรรเลงหรือเพลงร้องที่ต้องการจะเล่นได้ 10 เพลง แต่ละเพลงครูผู้สอนจะสอนให้ทีละท่อนใช้วิธีจับนิ้วจิ้ม ใครไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่ ด้วยวิธีนี้ เมื่อจบหลักสูตร 1เดือนเรียนวันเว้นวันวันละ 1 ชั่วโมง พวกฉันทั้งสี่คนสามารถเล่นเพลงบรรเลงเพราะ ๆ ของวง "เดอร์เวนเจอร์" ได้อย่างที่พวกเราลงความเห็นกันเองว่าเพราะพริ้งมากถึง 10 เพลงเลยทีเดียว

สื่อเดียวที่คนทั่วไปจะสามารถฟังเพลงที่นิยมชมชอบได้คือวิทยุ นอกจากรายการเพลงแล้วรายการวิทยุที่ฉันจำได้ก็มีรายการข่าวตอนห้าทุ่มของ "หลวงเมือง" และรายการเรื่องลึกลับฟังทีไรเป็นต้องขนลุกไปทุกทีชื่อรายการ "เรื่องจริงหรืออิงนิยาย" ส่วนโทรทัศน์เป็นสัญญาณขาวดำทั้งหมด เริ่มแรกมีเพียงสองช่องคือช่องสี่บางขุนพรหมและช่อง 7 ของทหาร ต่อมาจึงมีช่อง 7 สีซึ่งเป็นสถานีแรกของเอกชนที่เช่าทหารทำ ส่งสัญญาณสีเบียดให้ช่อง 7 ขาวดำตกไปเป็นช่อง 5 แทน รายการเพลงที่ออกอากาศทางโทรทัศน์มักไม่ค่อยมีรายการเพลงฝรั่ง ส่วนใหญ่เป็นเพลงไทยที่ร้องกันหน้ากล้องสด ๆ นักร้องหากเป็นหญิงจะต้องใส่เสื้อราตรียาวสวยงาม หากเป็นชายจะต้องใส่สูทผูกเนคไทจะมานุ่งกางเกงยีนใส่เสื้อยึดเหมือนสมัยนี้ไม่ได้เป็นอันขาดถือว่าไม่ให้เกียรติคนดู นักดนตรีก็ต้องใส่สูทนั่งในคอกเรียบร้อยเมื่อถึงท่อนบรรเลง นักดนตรีคนใดที่เล่นนำจะต้องลุกขึ้นยืนเพื่อให้ผู้ชมไม่สับสนว่าเสียงเครื่องดนตรีที่ได้ยินมาจากใครกันแน่

รายการอื่น ๆ นอกจากนั้นก็จะเป็นข่าวซึ่งน่าเบื่อมากเพราะไม่ค่อยมีภาพประกอบมีเพียงผู้ประกาศที่ส่วนใหญ่มีอายุแล้วออกมานั่งก้มอ่านข่าวปาว ๆ ไปพอรู้สึกตัวก็เงยหน้าขึ้นมาดูกล้องเสียครั้งหนึ่งจากนั้นก็ก้มหน้าอ่านข่าวต่อไป มีโฆษกบางคนที่พยายามเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผู้ชมผ่านหน้ากล้องบ่อย ๆ แทนที่จะดีกลับทำเอาผู้ชมพากันเวียนหัวกันไปเป็นแถว แถมพอก้มลงไปอ่านข่าวใหม่อ่านข้ามบรรทัดไปเลยก็มี หนังฝรั่งทางโทรทัศน์ฉายเป็นตอน ๆ พากย์เสียงภาษาไทยทันบ้างไม่ทันบ้างเพราะต้องใช้วิธีปิดเปิดเสียงในฟิลม์เอา หนังที่ฉายเป็นหนังคาวบอยพวกหน้ากากดำ "โลนเรนเจอร์" มือปืนพเนจร "แฮฟกันวิลแทรเวิล" พระเอกแก่งักไว้หนวดเรียวงาม และหนังนักสืบพวก "ไมค์ แฮมเมอร์" เป็นต้น ละคอนโทรทัศน์สมัยนั้นก็เล่นกันสด ๆ เป็นตอน ๆ เป็นเรื่องอิงประวัติศาสตร์เช่นเรื่องขุนศึก มี กำธร สุวรรณปิยะศิริ เล่นเป็นพระเอก คู่กับนางเอกหน้าหวานเป็นตาลเฉาะชื่อ อารีย์ นักดนตรี เวลาเล่นจะมีคนบอกบทพูดให้กับดารา เสียงบอกบทนั้นดังลอดออกมาทำให้คนดูรู้ว่าตัวแสดงจะพูดอะไรก่อนที่ตัวแสดงจะพูดเสียอีก

ช่วงที่อยู่บ้านหน้าวัดมหรรณ์ฯ ยังไม่มีใครมีโทรทัศน์ซึ่งมิใช่เรื่องแปลกเพราะเครื่องรับโทรทัศน์ในสมัยนั้นเป็นอะไรที่เสมือนอยู่ใกล้เกินเอื้อมสำหรับคนส่วนใหญ่ เด็ก ๆ ในละแวกบ้านจึงอาศัยการปีนรั้วบ้านคุณนายแดง ซึ่งเป็นบ้านที่รวยที่สุดในละแวกนั้นเพื่อจะได้เห็นภาพจากจอโทรทัศน์ซึ่งตั้งไว้บนห้องโถงชั้นสอง รายการที่เด็ก ๆ ชื่นชอบมากที่สุดคือการ์ตูนขาวดำ "โลนนี่ตูน" ซึ่งยังคงมีฉายอยู่จนถึงปัจจุบัน หลังจากนั้นไม่นาน ป๋าก็ตัดสินใจซื้อโทรทัศน์ เป็นโทรทัศน์ญี่ปุ่นยี่ห้อ SHARP ขนาดจอภาพขาวดำ 17 นิ้ว มีตัวตู้เป็นเหล็กใหญ่เทอะทะสีเขียว แม่และทุกคนในบ้านตื่นเต้นกันขนานใหญ่เนื่องจากบ้านฉันเป็นบ้านที่สองที่มีโทรทัศน์ดู แม่เห่อโทรทัศน์ขนาดหนักถึงขั้นลงทุนเย็บผ้าลูกไม้คลุมเครื่องด้วยตัวเองเลยทีเดียว

จากคุณ : แมงกะพรุน - [15 พ.ค. 45 03:53:24]

ความคิดเห็นที่ 1
เป็นวิธีการสอนที่แปลกดีนะ จับมือรำ ^_^
จากคุณ : GTW - [15 พ.ค. 45 04:55:23]

ความคิดเห็นที่ 2
รีบมาชื่นชมอีกตอนของความหลังค่ะ....ด้วยความขอบคุณ ยังนึกภาพชัดเจนตอนไปดู"วงชาโดว์"ประกอบหนังรอบพิเศษที่นิสิตนักศึกษาสมัยนั้นนิยมจัดรอบเช้าตรู่นะคะ ..และยังแว่วได้ยินเสียง"บอกบท"ในละคอนทีวีอยู่เลยค่ะขอให้คุณพระคุ้มครองสุขภาพคุณแมงกะพรุนและรอตอนต่ออย่างตั้งใจค่ะ
จากคุณ : ปราณ - [15 พ.ค. 45 06:49:16]

ความคิดเห็นที่ 3
อ่าน "เรื่องของฉัน" ของคุณแมงกะพรุนจบทุกตอนแล้วครับ ... อ่านรวดเดียวจากหน้ามอนิเตอร์เลย (โดยปกติ ผมอ่านอะไรจากหน้าจอนาน ๆ ไม่ได้ครับปวดตา และเมื่อคอ ต้องพิมพ์ออกมาอ่าน) .. เป็นเรื่องที่มีคุณค่ามากจริง ๆ ครับคุณแมงกะพรุนเขียนได้น่าอ่านจริง ๆ รู้สึกเหมือนกับได้ travel down the memory lane .. ความหลังเก่า ๆ มันพรูเข้ามาหมด .. หลายสิ่งที่คุณแมงกะพรุนเล่ามาเป็นประสพการณ์ของผมตอนเด็กทั้งนั้นเช่น การเล่นหมากเก็บ หรือลูกหิน... เสียงเคาะไม้ของรถขายหมี่หมูแดงยามดึก (น้องชายกับผมเรียกว่า หมี่ลาติน เพราะจังหวะเคาะเหมือนเพลงลาตินของ Edmundo Ros หรือ Xavier Cugat) กลิ่นควันไฟของเตาถ่านที่คุณแม่ ลุกขึ้นมาจุดตอนตีสี่ตีห้า ฯลฯ ผมไม่ใช่คนเคร่งศาสนามาก แต่ขอสวดภาวนาให้พระและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยคุ้มครอง คุณแมงกะพรุนด้วยครับ ขอขอบคุณพี่สาวใจดีที่แนะนำให้ผมอ่านเรื่องของคุณแมงกะพรุนมา ณ ที่นี่ด้วยครับ
จากคุณ : ศุภา - [15 พ.ค. 45 07:45:06]

ความคิดเห็นที่ 4
คุณแมงกะพรุนได้เรียนดนตรีแล้วได้มีโอกาสขึ้นแสดง ที่ไหนบ้างหรือเปล่าคะ
จากคุณ : O-HO - [15 พ.ค. 45 15:31:04]

ความคิดเห็นที่ 5
ตามมาอ่านค่ะ ชอบเรื่องราวสมัยก่อน อ่านสำนวนที่ว่า "หน้าหวานเป็นตาลเฉาะ" ของคุณแมงกะพรุนแล้วเห็นภาพเลยค่ะ
จากคุณ : ธราธร - [16 พ.ค. 45 02:09:55]

ความคิดเห็นที่ 6
อิอิ...อ่านช่วงท้ายเรื่องของตอนนี้แล้วทำให้นึกถึงทีวีเครื่องแรกที่เป็นแบบบิดช่องย้ายตู้เย็นหลังแรกที่ปัจจุบันถูกทาสีใหม่เป็นสีเขียวอ่อนแล้วก็รถกระบะคันแรกของครอบครัวอิอิ...ทุกอย่างยังใช้งานได้มาจนถึงปัจจุบันยกเว้นตู้เย็นซึ่งมีสก็อตเทปแปะตามขอบเต็มไปหมดเคยถามพ่อว่า พ่อทำไมไม่เอาไปขาย หรือเอาไปบริจาคเสียทีล่ะพ่อบอกว่า "ฮื้อ...ไม่ได้หรอก พ่อชอบอนุรักษ์ของเก่า นี่เป็นตู้เย็นหลังแรกของพ่อห้ามใครเอาไปขายเด็ดขาดนะ ไม่งั้นล่ะก็เจอดีแน่"...ฮี่ๆๆ
ปล. ขอให้คุณแมงกะพรุนมีกำลังใจที่เข้มแข็งนะคะเขาว่ากันว่าถ้าสุขภาพใจดี สุขภาพกายก็จะดีตามค่ะการปราศจากโรคเป็นลาภอันประเสิรฐก็จริงแต่การดำรงชีวิตอยู่อย่างมีคุณค่าเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมค่ะ
จากคุณ : njl - [16 พ.ค. 45 13:30:30]

ไม่มีความคิดเห็น: